วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Happy Newyear 2009

Happy Newyear 2009

เมื่อวานเป็นวันปีใหม่ที่ โรงเรียนจัดขึ้น สนุกมากเลย

ตอนเช้าก็มีการทำบุญตักบาตร จากนั้นก็มีการจับของขวัญ แล้วก้อเป็นกิจกรรมภายในห้องเรียน

กิจกรรมที่ห้องจัดขึ้นก็มีการเฉลย Buddy ^๐^

ลุ้นมากมาย Buddy ของเราก็คือ โมนั่นเอง เราเองก็เชื่อโมว่า โมไม่ใช่ Buddy เรา โดนหลอกซะงั้น

แต่ก็ดีแล้วแหละ จะได้ตื่นเต้นน !!!

นอกจากนั้นวันนั้นยังมีเรื่องตื่นเต้นยิ่งกว่า นั่นก็คือ เราทำกล้องหาย

ตอนนี้ มึนไปหมดเลย กลัวแม่ว่าด้วย ที่สำคัญ

แต่โชคดีที่มีคนเจอแล้ว เก็บไว้ให้ เพื่อนที่เจออยู่ ม.4/10

ถ้าไม่เจอ ก็คงเสียดายรูปในนั้นมากเลย

ก็เอาเป็นว่า ครั้งหน้าจะรักษาของให้มากกว่าเดิมแล้วกัน

กล้องไม่หายก็เลยอยากจะแบ่งปันความสุขในวันปีใหม่ที่โรงเรียนให้ทุกคน ได้ดูนะคะ


ทำบุญตอนเช้า


Santa









วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ประวัติ-ความเป็นมาของ "วันคริสต์มาส"

ประวัติ-ความเป็นมาของ "วันคริสต์มาส"

(Christmas หรือ X'Mas) คือเทศกาลเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ ซึ่งตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม พระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน

เป็นคำทับศัพท์ภาษา อังกฤษ Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" คำว่า" Christes Maesse" พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส : ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่ง ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวัน หรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่ง ส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

คำอวยพรสำหรับเทศกาลคริสมาสใช้ คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรีย แห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย

นักบุญ(เซนต์)นิโคลัสแห่งเมืองไมรา นักบุญองค์นี้เป็นสังฆราช ของ ไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่4 ได้รับการยกย่องให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ซานตาครอสจริงๆแล้ว แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย

นักบุญนิโคลาส เป็นนักบุญ ที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะ มาเยี่ยม เด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ก็อยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้างเพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายไปในอเมริกา โดย มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลาสก็เปลี่ยน เป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็น สังฆราชซึ่งเป็นนักบุญองค์นั้นก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนใส่ชุดสีแดงอาศัย อยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อน เป็นยานพาหนะมีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมา ทางปล่องไฟของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้ เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติ ของเขา

ต้นคริสต์มาสหรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน การตกแต่งนี้ย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก

เมื่อพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส)ในปี นั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบล เบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระ เยซูเจ้าประสูติ พอไปถึงก็เป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเสร็จแล้วก็กลับมาที่พักเป็นเวลาเช้ามืดราวๆ ตี 3 พระองค์ก็ถวาย มิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ก็ยังมีสัตบุรุษหลายคนที่ไม่ได้ไป พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระ สันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ใน โอกาสวันคริสต์มาส

ในสมัยก่อนมีกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมัน ได้เอากิ่งไม้มาประกอบ เป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของ เทศกาลเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะมารวมกัน ดับไฟ แล้วจุดเทียนเล่มหนึ่ง สวด ภาวนาและร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน เขาจะทำดังนี้ทุก อาทิตย์จนครบ 4 อาทิตย์ก่อน คริสต์มาส ประเพณีนี้เป็นที่นิยม และแพร่หลายในที่หลายแห่ง โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกาซึ่งต่อมา มีการเพิ่ม โดยเอาพวงมาลัยพร้อมกับเทียนที่จุดไว้ตรง กลาง 1 เล่มไป แขวนไว้ที่หน้าต่างเพื่อช่วย ให้คนที่ ผ่าน ไปมา ได้ระลึกถึงการเตรียมตัวรับวันคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา และพวงมาลัยนั้นยังเป็น สัญลักษณ์ที่คน สมัยโบราณใช้หมายถึงชัยชนะ แต่ในที่นี้หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และ ทำให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างครบ บริบูรณ์ตามแผนการณ์ ของพระเป็นเจ้า

เพลงคริสต์มาส เริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งผู้แต่งมีทั้งพระสงฆ์และฆราวาส เนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมา ของพระเยซูเจ้า แต่ใน ศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบ คือมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี ในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาส ที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จาก ประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อ โจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้อง ไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลง คริสต์มาสใหม่ นำไปเพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนอง ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก

โอ้โห!!! วันคริสต์มาสเนี่ย!!! น่าสนุกจริงๆเลยนะเจ้าค่ะ ที่สำคัญ วันเนี่ย...เพื่อนๆหลายๆคนอาจจะได้ของขวัญจากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ จากคนรัก จากพ่อ แม่ และจากใครหลายๆคนอีกด้วย....ก็ขอให้ Happy Happy ทุกคนนะเจ้าค่ะ...

ที่มา : เวบไซด์ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เด็กอายุต่ำกว่า 7 ขวบไม่ควรกลืนกินยาสีฟัน

เด็กอายุต่ำกว่า 7 ขวบไม่ควรกลืนกินยาสีฟัน

ที่หลายคนสงสัยคำเตือนว่า “เด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี ไม่ควรกินหรือกลืน” นั้น อย่างที่บอกในยาสีฟันมีส่วนผสมของฟลูออไรด์ การกลืนกินบ่อย ๆ อาจทำให้เด็กได้รับฟลูออไรด์มากจนเกินไป จนทำให้ฟันตกกระได้ ในขณะที่ฟันแท้กำลังสร้างตัว นอกจากนี้ในยาสีฟันยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น สารกันบูด สารขัดฟัน สารช่วยให้เกิดฟอง สารยึดเกาะ สารปรุงรสและกลิ่น สารคงความชื้น สารแต่งสี อาจทำให้เกิดอันตราย หรือแพ้ยาสีฟันได้ ดังนั้นจึงไม่ควรกลืนกินเข้าไป หลังแปรงฟันควรจะบ้วนออกให้หมด

แม้ว่ายาสีฟันส่วนใหญ่จะผ่านการสอบแล้วว่ามีความปลอดภัย แต่สิ่งที่ยังเป็นกังวล คือ ยาสีฟันมีกลิ่นหอม รสหวานอร่อย เด็กบางคนอาจกลืนกินเข้าไป เพราะฉะนั้นในเด็กอายุไม่ถึง 2 ขวบ ในการแปรงฟันจะใช้ยาสีฟันเพียงนิดเดียว แค่แตะแปรงสีฟัน หรือเด็กโตกว่านั้น 3 ขวบ อาจใช้ยาสีฟันแค่เม็ดถั่วเขียว

โดยหลักเด็กอายุต่ำกว่า 7 ขวบ พ่อแม่ต้องเป็นคนบีบยาสีฟันให้ และต้องเป็นคนแปรงฟันให้ ส่วนเด็กอายุ 7-11 ขวบ พ่อแม่ควรดูแลอย่างใกล้ชิด ว่าแปรงฟันสะอาด ทั่วถึงหรือไม่

ถ้าเด็กใช้ยาสีฟันสำหรับผู้ใหญ่จะเกิดผลเสียอย่างไร? รองศาสตราจารย์ทันตแพทย์หญิงวัชราภรณ์ กล่าวว่า โดยหลักไม่ควรใช้ เว้นแต่อายุ 6 ขวบขึ้นไป เพราะจะเกิดผลเสียอย่างที่บอก คือ การกลืนกินยาสีฟัน ทำให้ได้รับปริมาณ ฟลูออไรด์มากจนเกินไป เพราะในชีวิตประจำวันเด็กอาจได้รับฟลูออไรด์จากทางอื่นด้วย เช่น การรับประทานอาหาร ยาเม็ดฟลูออไรด์

จะแก้ปัญหาเด็กที่กลืนกินยาสีฟันอย่างไร? รองศาสตราจารย์ทันตแพทย์หญิงวัชราภรณ์ กล่าวว่า อาจจะใช้ยาสีฟันสำหรับเด็กที่ไม่มีฟลูออไรด์เป็นส่วนผสม หรือไม่ใช้ยาสีฟันเลยก็ได้ เพราะการแปรงฟันธรรมดาด้วยน้ำเปล่าอย่างถูกวิธีหลังอาหารอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ก็สามารถทำความสะอาดซอกฟันและเหงือกให้สะอาด ป้อง กันฟันผุได้ ส่วนการใช้ยาสีฟันก็เพื่อช่วยให้การแปรงฟันสะดวก รสชาติดีขึ้นเท่านั้น จะเห็นได้ว่า ผู้ใหญ่บางคนยังแปรงฟันโดยใช้เกลืออยู่เลย

อันตรายจากยาสีฟันมีหรือไม่? รองศาสตราจารย์ทันตแพทย์หญิงวัชราภรณ์ กล่าวว่า ในบางคนอาจเกิดการแพ้ได้ เช่น ทำให้ปากแห้ง เป็นแผล ก็ต้องเปลี่ยนยาสีฟันไปใช้ยี่ห้ออื่น ส่วนใหญ่จะดีขึ้น.

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ที่มา: http://variety.teenee.com/foodforbrain/12618.html

วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ข้อสอบ online ชุดที่ 25

ข้อสอบ online ชุดที่ 25 20 ข้อ

1. การรวมเอาภาษาเครื่องและสัญลักษณ์ไว้ด้วยกันเราเรียกว่า
ก. Machine Language
ข. Symbolic Language
ค. Low - Level Language
ง. High - Level Language
เฉลย ข้อ ค. Low - Level Language
ภาษาระดับต่ำ (Low level language) การใช้ภาษามนุษย์เขียนชุดคำสั่งนี้มีข้อดีคือ ทำได้ง่าย มีความผิดพลาดน้อย แก้ไขตอนหนึ่งตอนใดได้ง่าย เขียนได้สั้น เพราะบางทีคำสั่งเพียงคำสั่งเดียวก็มีผลเท่ากับหลายคำสั่งในภาษาเครื่อง แต่ภาษาเครื่องก็มีส่วนดีตรงที่สามารถใช้เวลาของเครื่องน้อยกว่าเพราะไม่เสียเวลาในการแปลดู computer language ประกอบดู machine language เปรียบเทียบ
URL: http://www.siamdic.com/search.php?word=low%20level%20language&type=2

2. ในยุคแรก ๆ เราใช้ภาษาอะไรในการเขียนโปรแกรมอย่างง่ายที่สุด
ก. FORTRAN
ข. RPG
ค. Basic
ง. Prolog
เฉลย ข้อ ค. Basic
ภาษาเบสิก (BASIC programming language) เป็นภาษาโปรแกรมที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย และยังได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้ เบสิกออกแบบมาให้ใช้กับคอมพิวเตอร์ตามบ้าน
URL: http://seymour.exteen.com/20070304/entry-1

3. ระบบ Token Ring ให้ความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลเท่าไร
ก. 2 Mbps/วินาที
ข. 4 Mbps/วินาที
ค. 16 Mbps/วินาที
ง. 10 Mbps/วินาที

เฉลย ข้อ ค. 16 Mbps/วินาที
เครือข่ายแบบ token ring เป็นระบบเครือข่ายแบบ LAN ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อด้วย topology แบบ หรือ star และระบบเลขฐานสอง (หรือ token) เป็นแบบแผนการส่งที่ใช้ในการป้องกันการชนกันของข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง ที่ต้องการส่ง message ในเวลาเดียวกัน โปรโตคอลของ token ring ได้รับการใช้เป็นอันดับที่สองในระบบ LAN รองจาก Ethernet โปรโตคอล โดย IBM token ring ได้นำไปสู่มาตรฐานของ IEEE 802.5 ซึ่งโปรโตคอลทั้งสองได้รับการใช้และคล้ายกันมาก การส่งข้อมูลของเทคโนโลยี IEEE 802.5 token ring ให้อัตราการส่งข้อมูล 4 -16 Mbps

URL: http://www.widebase.net/knowledge/itterm/it_term_desc.php?term_id=tokenring

4. ข้อใดหมายถึงรหัสภายนอกเครื่อง
ก. External ID
ข. External Chip
ค. External Code
ง. External Btye

เฉลย ข้อ ค. External Code
รหัสแทนข้อมูล
รหัสแทนข้อมูลจะมี 2 ลักษณะ คือ
1. รหัสภายนอกเครื่องคอมพิวเตอร์ (External Code) เป็นรหัสที่ใช้อยู่ภายนอกเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น รหัสที่ใช้ในบัตร

URL: http://www.nrru.ac.th/learning/science/sc_007/03/unit3/data2.html

5. ข้อใดไม่ใช่โครงสร้างข้อมูล
ก. Data file
ข. Data Rrcord
ค. Data Processing
ง. Data Item

เฉลย ข้อ ค. Data Processing

โครงสร้างของข้อมูล
1. Bit (Binary digit)
2. อักขระ (characters)
3. เขตข้อมูล (Fields) / Attribute
4. ระเบียนข้อมูล (Records) / tuple
5. แฟ้มข้อมูล (Files) / Entity
6. ฐานข้อมูล (Database)
URL: http://www.nrru.ac.th/learning/science/sc_007/03/unit3/data2.html

6. ข้อใดไม่ใช้ความหมายของคำว่า "ข้อมูล"
ก. คน
ข. สัตว์
ค. สถิติ
ง. สิ่งของ
เฉลย ข้อ ค. สถิติ
ข้อมูลหมายถึงข้อเท็จจริงที่เป็นตัวเลขหรือไม่เป็นตัวเลขก็ได้ ที่เราสนสนใจจะศึกษา
ข้อมูลสถิติ หมายถึงข้อมูลที่เป็นตัวเลขหรือไม่เป็นตัวเลขเช่นเดียวกับ ข้อมูล แต่ข้อมูลสถิติจะมีจำนวนมากกว่า และสามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้
URL: http://www.rayongwit.ac.th/data_math/means.htm


7. วิธีการทางคอมพิวเตอร์มีกี่วิธี
ก. 7 วิธี
ข. 6 วิธี
ค. 5 วิธี
ง. วิธี

เฉลย ข้อ ค. 5 วิธี
วิธีการทางคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนดังนี้
11 การวิเคราะห์งาน หมายถึงการศึกษารายละเอียดของงานที่ต้องการจะทำนั้นว่ามีวัตถุประสงค์อย่างไร ต้องใช้ข้อมูลอะไรบ้างในการประมวลผล ผลลัพธ์ที่ต้องการมีรูปแบบอย่างไร เป็นต้น การวิเคราะห์แบ่งออกเป็นขั้นตอนดังนี้
o สิ่งที่โจทย์ต้องการ วัตถุประสงค์ของงานต้องการอะไรบ้าง
o การแสดงผลลัพธ์ การพิจารณารายงานที่พิมพ์ว่ามีรูปร่างอย่างไร
o ข้อมูลนำเข้า ข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผลโดยที่ไม่ใช่ค่าคงที่
o การกำหนดต่าตัวแปร การกำหนดชื่อของตัวแปรทุกตัวในโปรแกรม
o วิธีการคำนวณ การแสดงลำดับขั้นตอนการประมวลผล
11 การเขียนผังงาน การใช้ผังงานหรือรูปภาพแสดงแทนลำดับขั้นตอนทำงานของโปรแกรม
11 การเขึยนโปรแกรม การนำผังงานมาเขียนเป็นรหัสคำสั่งของภาษานั้น ๆ
11 การทดสอบโปรแกรม การตรวจสอบความถูกต้องและความสมบูรณ์ของคำสั่งต่าง ๆ ในโปรแกรม เพื่อหาข้อผิดพลาดแล้วนำมาแก้ไข
11 การนำข้อมูลจริงเข้าเครื่องและทำเอกสารประกอบโปรแกรม หลังจากทดสอบโปรแกรมเรียบร้อยแล้วขั้นนี้ก็ไม่มีปัญหาสามารถนำข้อมูลจริงเข้าเครื่องเพื่อนำไปประมวลผลตามโปรแกรมนั้นได้ทันทีจนกระทั่งได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
URL: http://cptd.chandra.ac.th/selfstud/cobol/pass1.htm

8. เครื่องในยุค 8 บิต คือ CP/M ย่อมาจาก
ก. Control Process microsoft
ข. Computer Programming microsoft
ค. Control Personal Computer
ง. Control Program for Microcomputer

เฉลย ข้อ ง. Control Program for Microcomputer
ซีพีเอ็ม หรือ CP/M (Control Program/Monitor หรือ Control Program/Microcomputers) เป็นระบบปฏิบัติการ ซึ่งเดิมเขียนเพื่อทำงานบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ที่ใช้ชิพตระกูล 8080/85 ของอินเทล CP/M เริ่มเขียนโดย แกรี คิลดัล (Gary Kildall) แห่งบริษัท ดิจิทัล รีเสิร์ช (Digital Research, Inc.) เดิมเป็นระบบซิงเกิลทัสก์ และทำงานกับเฉพาะโพรเซสเซอร์ขนาด 8 บิต และหน่วยความจำไม่เกิน 64 กิโลไบต์ แต่รุ่นหลังรองรับการทำงานหลายผู้ใช้และขยายไปทำงานบนโปรเซสเซอร์ซึ่งปัจจุบันนี้ล้าสมัยแล้วหลังจากเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ได้ขยายมาเป็นเครื่องขนาด 16 บิต
URL: http://th.wikipedia.org/wiki/CP/M
9. ผังงานระบบจะแสดงรายละเอียดการทำงานเป็นแบบใด
ก. Interactive Flowchart
ข. System Flowchart
ค. Program Flowchart
ง. Interup Flowchart

เฉลย ข. System Flowchart
ผังงานระบบ(System Flowchart) เป็นการใช้แผนภาพที่ใช้แสดงอินพุท เอาต์พุต และการประมวลผล(Process) ของระบบ ในบางกรณี เราใช้ผังงานระบบแทนแผนภาพแสดงกระแสข้อมูล ในบางกรณีก็ใช้ด้วยกัน ตัวอย่าง ผังงานระบบสำหรับแก้ไขข้อมูลในจานแม่เหล็ก
URL: http://irrigation.rid.go.th/rid15/ppn/Knowledge/System%20Analysis%20and%20Design/System%20Analysis%20and%20Design1.htm

10. ข้อใดไม่ใช่วัตถุประสงค์ของสารสนเทศ
ก. เพิ่มพูนระดับความรู้
ข. ใช้ในการติดต่อสื่อสาร
ค. ผิดทุกข้อ
ง. ลดแนวทางตัดสินใจ

เฉลย ข้อ ค. ผิดทุกข้อ

ข้อมูลและสารสนเทศนับว่ามีประโยชน์ต่อการนำไปใช้บริหารงานด้านต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่น

1. ด้านการวางแผน สามารถนำสารสนเทศไปใช้ในการวางแผนเกี่ยวกับการจัดการองค์การ การบริหารงานทรัพยากรมนุษย์ กระบวนการผลิตสินค้า การตลาด เป็นต้น

2. ด้านการตัดสินใจ สามารถนำสารสนเทศไปใช้ในการตัดสินใจเพื่อเลือกแนวทางหรือทางเลือกที่มีปัญหาน้อยที่สุดในการแก้ปัญหาต่าง ๆ การมีสารสนเทศที่สมบูรณ์ ทันสมัย และครบถ้วนจะช่วยให้การตัดสินใจถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

3. ด้านการดำเนินงาน สามารถนำสารสนเทศไปใช้ในการดำเนินงานต่าง ๆ เช่น ใช้เพื่อควบคุมหรือติดตามผลการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับกฎระเบียบ วัตถุประสงค์ และเป้าองค์การ

URL: http://www.itdestination.com/resources/tech/showtech.php?00004


11. ข้อใดมีความหมายว่า "ผู้จัดตารางเวลา" ที่ถูกต้อง
ก. Librarian
ข. Scheduler
ค. Operrator
ง. Service
เฉลย ข้อ ข. Scheduler
ผู้จัดตารางเวลา (Scheduler) ทำหน้าที่จัดตารางเวลาการใช้คอมพิวเตอร์ให้กับงานแต่ละชนิดภายใน ห้อง คอมพิวเตอร์ เช่น ช่วงเวลาใดจะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานอะไร เพื่อให้งานทั้งหมด ดำเนินไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และไม่เกิดปัญหาระหว่างผู้ใช้ ตลอดจนใช้เวลาในการประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยบุคคลที่ทำหน้าที่นี้ควรเข้าใจ ลักษณะงานขององค์การและการทำงาน ของระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถที่จะจัดตาราง เวลาการปฏิบัติงานของ ระบบได้อย่างเหมาะ
URL: http://std.kku.ac.th/4830503311/mis/file%20mis/l1-7.htm

11 ประเทศใดเป็นผู้ประดิษฐ์ลูกคิด
ก. ฝรั่งเศส
ข. จีน
ค. อังกฤษ
ง. อเมริกา
เฉลย ข้อ ข. จีน
คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องประมวลผล โดยมีพื้นฐานมาจากการคิดคำนวณวิวัฒนาการของ
คอมพิวเตอร์มีมาอย่างต่อเนื่องโดยเริ่มต้นเมื่อ 7,000 ปีมาแล้วที่ชาวจีนคิดค้นประดิษฐ์ลูกคิด
ในการคำนวณ
URL: http://www.geocities.com/kanokwan73/his_born.html

12. ใครเป็นผู้ประดิษฐ์ Slide Rule
ก. Blaise Pascal
ข. William Augtred
ค. Charles Babbage
ง. Ada Augusta
เฉลย ข้อ ข. William Augtred
วิลเลียม ออตเทรต( William Oughtred) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษได้ประดิษฐ์ไม้บรรทัดคำนวณ ( Slide Rule) ซึ่ง ต่อมากลายเป็นพื้นฐานของการสร้างคอมพิวเตอร์แบบอนาลอก
URL: http://www.md.chula.ac.th/th/cunit/com_story.html




13. เครื่องคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลกชื่อว่า
ก. Mark I
ข. Eniac
ค. Edvac
ง. Univaci
เฉลย ข้อ ข. Eniac
ENIAC เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก
จอห์น ดับลิว มอชลีย์ (John W. Mauchly) และ เจ เพรสเพอร์ เอคเกิรต (J. Prespern Eckert) ได้รับทุนอุดหนุนจากกองทัพสหรัฐอเมริกา ในการสร้างเครื่องคำนวณ ENIAC เมื่อปี 1946 นับว่าเป็น "เครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลก หรือคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก" ENIAC เป็นคำย่อของ Electronics Numerical Integrator and Computer เป็นเครื่องคำนวณที่มีจุดประสงค์เพื่อใช้งานในกองทัพ โดยใช้คำนวณตารางการยิงปืนใหญ่ วิถีกระสุนปืนใหญ่ อาศัยหลอดสุญญากาศจำนวน 18,000 หลอด มีน้ำหนัก 30 ตัน ใช้เนื้อที่ห้อง 15,000 ตารางฟุต เวลาทำงานต้องใช้เวลาถึง 140 กิโลวัตต์ คำนวณในระบบเลขฐานสิบ เครื่อง ENIAC นี้มอชลีย์ ได้แนวคิดมาจากเครื่อง ABC ของอาตานาซอฟ

URL: http://library.uru.ac.th/webdb/images/computer-history0011.html

14. เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่นำมาใช้ในประเทศไทยคือ
ก. IBM 1401
ข. IBM 1620
ค. IBM 1200
ง. IBM 1630
เฉลย ข้อ ข. IBM 1620
ประเทศไทยเริ่มมีคอมพิวเตอร์ใช้เป็นครั้งแรก โดยที่คอมพิวเตอร์เครื่องแรกในประเทศไทยได้ติดตั้งที่ ภาควิชาสถิติ คณะพานิชยศาสตร์และการบัญชีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนี้คือ IBM 1620 ซึ่งได้รับมอบจากมูลนิธิเอไอดี และบริษัทไอบีเอ็ม แห่ง ประเทศไทยจำกัด ปัจจุบันหมดอายุการใช้งานไปแล้ว จึงได้มอบให้แก่ศูนย์บริภัณฑ์การศึกษาท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ
URL: http://www.thaicyberpoint.com/ford/blog/id/193/

15. คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่มสุดคือ
ก. ไมโครคอมพิวเตอร์
ข. ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์
ค. เมนเฟรม
ง. มินิคอมพิวเตอร์
เฉลย ข้อ ข. ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์
คอมพิเตอร์แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
1) ซูปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Supercomputers) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีความสามารถในการทำงานมากที่สุดด้วย
2) เมนแฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe computers) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่มีความสามารถในการปรมวลผลข้อมูลที่มีจำนวนมหาศาลนับเป็นล้าน ๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว เหมาะกับหน่วยงานเช่น ธนาคาร สายการบิน เป็นต้น
3) คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal computers) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็ก และมีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลไม่มากนัก
บางครั้งอาจเรียกว่า "ไมโครคอมพิวเตอร์" (Microcomputers)

16. ข้อใดไม่ใช่ส่วนประกอบของ CPU
ก. Controller
ข. Central Unit
ค. Primary Storage
ง. Main Memory
เฉลย ข้อ ข. Central Unit
CPU เปรียบเสมือนสมองของเครื่องคอมพิวเตอร์ มีหน้าที่ในการคำนวณประมวลผล
ข้อมูลและเป็นศูนย์กลางการควบคุมการ ทำงาน ของอุปกรณ์ต่างๆ โดย CPU ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักได้แก่
1.1 ส่วนควบคุม(Control Unit) เป็นศูนย์กลางการควบคุมการทำงานภายในหน่วยประมวลผล
1.2 ส่วนการคำนวณทางคณิตศาสตร์และตรรกะศาสตร์(Arithmetic/Logic Unit) เป็นส่วนของการคำนวณต่างๆ
1.3 ส่วนหน่วยความจำและรีจิสเตอร์(Primary Memory/Register) ช่วยในการเก็บข้อมูลชั่วคราวเพื่อนำไปประมวลผลหรือจัด เตรียมข้อมูลก่อนและหลังการจัดเก็บข้อมูล
URL: http://montharop071.blogspot.com/2006/12/cpu_3530.html

17. อุปกรณ์ที่สามารถทำงานได้โดยชุดคำสั่งคือ
ก. Software
ข. Hardware
ค. Pepleware
ง. Harddisk
เฉลย ข้อ ข. Hardware
ซอฟต์แวร์ (software) หมายถึงชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ใช้สั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ซอฟต์แวร์จึงหมายถึงลำดับขั้นตอนการทำงานที่เขียนขึ้นด้วยคำสั่งของคอมพิวเตอร์ คำสั่งเหล่านี้เรียงกันเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จากที่ทราบมาแล้วว่าคอมพิวเตอร์ทำงานตามคำสั่ง การทำงานพื้นฐานเป็นเพียงการกระทำกับข้อมูลที่เป็นตัวเลขฐานสอง ซึ่งใช้แทนข้อมูลที่เป็นตัวเลข ตัวอักษร รูปภาพ หรือแม้แต่เป็นเสียงพูดก็ได้
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์จึงเป็นซอฟต์แวร์ เพราะเป็นลำดับขั้นตอนการทำงานของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งทำงานแตกต่างกันได้มากมายด้วยซอฟต์แวร์ที่แตกต่างกัน ซอฟต์แวร์จึงหมายรวมถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทุกประเภทที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้
การที่เราเห็นคอมพิวเตอร์ทำงานให้กับเราได้มากมาย เพราะว่ามีผู้พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาให้เราสั่งงานคอมพิวเตอร์ ร้านค้าอาจใช้คอมพิวเตอร์ทำบัญชีที่ยุ่งยากซับซ้อน บริษัทขายตั๋วใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในระบบการจองตั๋ว คอมพิวเตอร์ช่วยในเรื่องกิจการงานธนาคารที่มีข้อมูลต่าง ๆ มากมาย คอมพิวเตอร์ช่วยงานพิมพ์เอกสารให้สวยงาม เป็นต้น การที่คอมพิวเตอร์ดำเนินการให้ประโยชน์ได้มากมายมหาศาลจะอยู่ที่ซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์จึงเป็นส่วนสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์ หากขาดซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ก็ไม่สามารถทำงานได้ ซอฟต์แวร์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น และมีความสำคัญมาก และเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้ระบบสารสนเทศเป็นไปได้ตามที่ต้องการ
URL: http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet1/software/software/index.html

18. บัตรเจาะ 80 คอลัมน์มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า
ก. บัตร ATM
ข. บัตร IBM
ค. บัตร UPC
ง. บัตร DRUM
เฉลย ข้อ ข. บัตร IBM
ค. ศ. 1860-1929 เครื่องประมวลผลทางสถิติเครื่องแรก
ดร. เฮอร์แมน ฮอลเลอริธ (Dr. Herman Hollerith) ชาวอเมริกา ได้ประดิษฐ์เครื่องประมวลผลทางสถิติ คือ Tabulating Machine ใช้กับบัตรเจาะรู นำมาประมวลผลข้อมูลในการสำรวจสำมะโมประชากรในสหรัฐอเมริกา และต่อมา ฮอลเลอริธ ได้นำหลักการบัตรเจาะรูของ โจเซฟ แมรี่ แจคคาร์ด มาดัดแปลงเพื่อใช้กับ Tabulating Machine และเรียกบัตรนี้ว่า “บัตรฮอลเลอลิธ (Hollerith Card)” และต่อมาได้พัฒนามาใช้เป็นบัตรเจาะรู 80 คอลัมน์ ใช้กับคอมพิวเตอร์ เรียกว่า “IBM Card” หรือ บัตร 80 คอลัมน์ (ปัจจุบันไม่นิยมใช้บัตรเจาะรูกับคอมพิวเตอร์แล้ว เพราะมีสื่อประเภทอื่นที่มีประสิทธิภาพดีกว่า)
URL: http://yalor.yru.ac.th/~sirichai/e-learning/module1-information-technology/history-com.html

19. แผ่นดิสก์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันคือขนาดใด
ก. 8 นิ้ว
ข. 3.5 นิ้ว
ค. 5.25 นิ้ว
ง. 7.5 นิ้ว
เฉลย ข้อ ข. 3.5 นิ้ว
ดิสก์ 5.25 นิ้วปัจจุบันไม่มีการนำมาใช้งานแล้ว ดิสก์ 3.5 นิ้วปัจจุบันยังมีการใช้งานอยู่บ้าง แต่ก็กำลังจะหมดความนิยมไปในที่สุด
URL: http://www.pm.ac.th/vrj/com/disk.htm

20. Dbase จัดเป็นซอร์ฟแวร์ประเภทใด
ก. Graphic Software
ข. Database Management Software
ค. Word Processing Software
ง. Business Software
เฉลย ข้อ ข. Database Management Software
เป็นชื่อโปรแกรมสำเร็จที่ได้รับความนิยมมากสมัยหนึ่งในด้านการจัดการฐานข้อมูล (database management) ได้รับการพัฒนาติดต่อกันมาหลายรุ่น (version)
URL: http://guru.sanook.com/dictionary/dict_comp/dBASE/

วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สอบเสร็จแล้ว

และแล้วในที่สุดการสอบ กลางภาคเรียนที่ 2ก็จบลง

รู้สึก โล่งอย่างบอกไม่ถูก เหมือนว่า ยกภูเขาออกจากอก

แต่ยังไงก็ตาม ปลายภาคนี้ คงต้องขยันขึ้นอีกหลายเท่าเลย

เพราะดูจากการสอบครั้งที่ผ่านมาแล้ว คะแนนที่ได้คงเน่ามากก

ยังไงก็ สู้ๆๆๆ อาทิตย์หน้า เป็นวันปีใหม่แล้วซิ คงหยุดหลายวันเลย เย้ๆๆๆๆ จะได้พักผ่อนหน่อย

การบ้านก็คงมีมาให้ทำเยอะเช่นเดียวกัน เอาเป็นว่า " MERRY X-mas และ HAPPY NEW YEAR ^๐^ "

วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ในทุกสุขมีทุกข์ ในทุกข์มีสุขปะปน

ในทุกสุขมีทุกข์ ในทุกข์มีสุขปะปน

ในทุกสุขมีทุกข์ ในทุกข์มีสุขปะปน


ความทุกข์ - ความสุข เป็นของคู่กัน
อย่ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเวลาที่เรามีความทุกข์...
ถ้าเราไม่รู้จักความทุกข์ เราจะรู้จักความสุขได้อย่างไร
ถ้าไม่เคยร้อน เราคงไม่รู้จักความหนาว...

หลายๆ ครั้ง เราชอบที่จะไม่ร้อนไม่หนาว
เช่นเดียวกับความสุข...

เมื่อเรามีความสุขแล้ว ความสุขนั้นจบลง
มันก็กลายเป็นความทุกข์โดยปริยาย


ทั้งๆ ที่เราอาจจะไม่รู้สึกอะไรก็ได้
ถ้าเราไม่ได้ไปสัมผัสกับความสุขนั้นมาก่อน

บางคนก็เลยคิดว่า อย่าไปสัมผัสกับความสุขนั้นเลยดีกว่า
จริงๆ แล้ว จะสุขหรือทุกข์ก็อยู่ที่มุมมองของใจเราเท่านั้นเอง


การมอง และการสัมผัสที่เหมือนกัน
ก็ยังให้ความหมายและความรู้สึกไม่เหมือนกัน
เรามาช่วยกันดูในมุมมองที่อาจเหมือน หรือแตกต่าง...
ซึ่งอาจมีเธอกับฉันที่มองเหมือนก็ได้


เหรียญมีสองด้าน
พลิกด้านหัวขึ้น... ด้านก้อยก็คว่ำลง
ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ

ในทุกสุข มีทุกข์แอบแฝง
ในทุกข์ก็มีสุขปะปน
คว่ำความทุกข์ลง
ความสุขก็พลิกหงายขึ้น

______________________
"ดูใจ"............พล ตัณฑเสถียร

ขอบคุณบทความจากทำดีดอทเน็ต(ป้าแก้ว)

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วิกฤติเด็กไทยไม่อยากมาโรงเรียนพรุ่ง

วิกฤติเด็กไทยไม่อยากมาโรงเรียนพรุ่ง

เข้าขั้นวิกฤติเต็มที เด็กไม่อยากมาโรงเรียนเพิ่มสูงขึ้น ผอ.สถาบันรามจิตติเผย 1.5 แสนคน ชอบมาโรงเรียนแค่ 40% ส่วนใหญ่เป็นเด็กมัธยมในต่างจังหวัด อ้างโรงเรียนนั้นไม่ปลอดภัย แถมครูสอนน่าเบื่อ ไม่สร้างแรงบันดาลใจการเรียนรู้ ด้าน "อ.สมพงษ์" แนะปรับรูปแบบการเรียน หาเทคนิคการสอนที่เข้ากับวัยเด็ก


นายอมรวิชช์ นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันรามจิตติ เผยผลการสำรวจนักเรียนจำนวน 150,000 คน จาก 76 จังหวัดทั่วประเทศโดยสุ่มตัวอย่างจังหวัดละ 2,000 คน ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษา ทั้งนี้ ได้ทำการสอบถามเกี่ยวกับความชอบหรือไม่ชอบมาโรงเรียนของนักเรียน โดยให้เลือก 3 ระดับด้วยกัน คือ ชอบมาโรงเรียนมาก ชอบมาโรงเรียนในระดับปานกลาง และไม่ชอบมาโรงเรียนอย่างไรก็ตามผลการสำรวจพบว่ามีนักเรียนที่ชอบมาโรงเรียนมากมีเพียงแค่ร้อยละ 40 เท่านั้น


ทั้งนี้ จากการสำรวจยังพบด้วยว่านักเรียนที่อยู่ในเมือง ไม่ชอบมาโรงเรียนมากกว่านักเรียนที่อยู่นอกเมืองหรือในต่างจังหวัด และนักเรียนระดับประถมชอบไปโรงเรียนมากกว่านักเรียนระดับมัธยม


นอกจากนั้น ยังพบว่าแนวโน้มเด็กส่วนใหญ่มีความรู้สึกว่าโรงเรียนไม่ปลอดภัยนั้นมีสูงขึ้น เพราะพบเห็นภาพความรุนแรงโดยเฉพาะในเด็กมัธยมศึกษาตอนต้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชกต่อยในโรงเรียน แก๊งรีดไถ แถมนิสัยการอ่านหนังสือลดน้อยลงอีกด้วย


"ผลการสำรวจที่ออกมา ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องหันมาทบทวนตัวเอง ตั้งแต่เรื่องวิธีสอนของครู ที่ให้ความสำคัญกับการทำผลงานมากกว่าใส่ใจการสอนเด็ก รวมถึงปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียนด้วย" ผอ.สถาบันรามจิตติกล่าว


ด้าน รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวว่า ผลงานวิจัยของโครงการติดตามสถานการณ์เด็กและเยาวชน Child Watch ในส่วนของกรุงเทพมหานคร สอดคล้องกับผลสำรวจของสถาบันรามจิตติ โดยได้ทำการสำรวจนักเรียนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 9,000 คน ใน 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ จ.สมุทรสาคร จ.สมุทรสงคราม จ.ปทุมธานี จ.นครปฐม และ จ.นนทบุรี


"ผลงานวิจัยพบว่าเด็กขาดความสุข ขาดความกระตือรือร้น และขาดแรงบันดาลใจในการมาโรงเรียนโดยเฉพาะในระดับมัธยม ซึ่งได้มีการตั้งสมมติฐานว่าสาเหตุที่ทำให้เด็กรู้สึกเช่นนั้น เกิดจากเด็กรู้สึกว่าการมาโรงเรียนไม่น่าสนุก น่าเบื่อ ถึงขนาดคอยเช็กชั่วโมงเรียนว่าชั่วโมงไหนครูไม่เข้าสอนบ้าง สาเหตุหลักๆ เป็นเพราะครูมุ่งแต่จะทำผลงานทำให้ไม่มีเวลาดูแลเด็ก ทำให้เด็กรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง นอกจากนั้นเนื้อหาของหลักสูตรยังไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เด็กต้องการจะเรียนรู้ ปัญหานี้ถือเป็นปัญหาใหญ่ และเป็นเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน" รศ.ดร.สมพงษ์กล่าว

อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ยังกล่าวถึงแนวทางแก้ปัญหาด้วยว่า ผู้เกี่ยวข้องต้องออกแบบว่าจะทำอย่างไรให้โรงเรียนน่าอยู่ โดยหากิจกรรมเข้ามาเสริมเพิ่มความกระตือรือร้นให้กับเด็ก รวมถึงการหาอุปกรณ์การเรียนการสอนและสื่อการสอนที่สร้างสรรค์ รวมทั้งหาเทคนิควิธีการเรียนที่เข้ากับวัยของเด็กด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/12469.html

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551

** ข้อดีของการสอบตก VS ข้อเสียของการสอบผ่าน **

ข้อดีของการสอบตก VS ข้อเสียของการสอบผ่าน ..>>>>>>>>

ข้อดีของการสอบตก

1. เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันภายในจิตใจของเรา เวลาเราได้คะแนนน้อย เราจะได้ไม่เกิดอาการซึมเศร้าจนเกินไป

2. เป็นการประเมินตัวเองในระดับหนึ่ง ทำให้เราทราบถึงข้อบกพร่องของตัวเอง จะได้แก้ไขได้ตรงจุด

3. การซ่อม ถือว่าเป็นการทบทวนการทำข้อสอบของเราอีกครั้งหนึ่ง จะได้เป็นอุทาหรณ์ แล้วเราจะได้ไม่พลาดอีก หรือถ้าให้ทำงานอื่นส่ง ก็เพื่อเป็นการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของเราให้ดีขึ้น

4. คิดไว้เสมอว่า พลาดตอนนี้ ดีกว่าไปพลาดตอนสอบแอดมิชชั่น (จริงไหม)

ข้อเสียของการสอบผ่าน

1. ถ้าเราไม่เคยตกเลยสักครั้ง เราก็จะไม่มีภูมิคุ้มกันความโศกเศร้าเสียใจ ซึ่งก็เป็นสาเหตุเด่นๆ ที่ทำให้เด็กเรียนเก่งฆ่าตัวตายมาแล้วหลายคน (ใช่รึเปล่า)

2. การแข่งขันก็จะยิ่งปรากฏให้เห็นได้ชัด เพราะ ถ้าเราสอบผ่าน แต่เพื่อนอีกคนนึงสอบผ่านเหมือนกัน แต่ดันได้คะแนนเยอะกว่าเรา ใจเราก็จะเริ่มคิดหาวิธีให้ตัวเองสอบได้คะแนนดีกว่าเพื่อนแล้ว เนี่ยแหละ ความทุกข์ความอยาก มันเกิดขึ้นที่ใจเราเป็นต้นเหตุทั้งนั้น

3. อาจจะทำให้เราประหม่าในเวลาสอบครั้งต่อไป เพราะใจเรามัวแต่คิดว่า “ยังไง เราก็สอบผ่าน” แล้วเราก็ขาดความกระตือรือร้นไปโดยปริยาย
4. การที่เราสอบผ่าน ขอให้ถามตัวเองดีๆว่า เราผ่านด้วยความสามารถของตัวเองรึเปล่า ถ้าคำตอบคือไม่ เราก็จะไม่ได้อะไรจากการสอบในแต่ละครั้งเลย

เพราะฉะนั้นไม่ต้องเสียใจไปกับการสอบตกหรอก นะ

ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=64&post_id=1276307&order_reply=0

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2551

"กินปลา" ดีกว่า "น้ำมันปลา" ป้องกันความเสี่ยง "โรคหัวใจ"

"กินปลา" ดีกว่า "น้ำมันปลา" ป้องกันความเสี่ยง "โรคหัวใจ"

สถาบันอาหาร สุขภาพ และโภชนาการมนุษย์แห่งนิวซีแลนด์ แนะนำว่า ควรจะกินปลาแซลมอนโดยตรงจะได้ คุณประโยชน์มากกว่ากินน้ำมันปลาแคปซูล

นักวิจัยของสถาบันได้ศึกษาพบว่า แม้ว่าการกินปลากับกินแคปซูลน้ำมันปลาจะได้ประโยชน์พอๆกัน ช่วยเพิ่มระดับของสารโอเมกา-3 แต่การกินปลายังได้คุณประโยชน์ ช่วยให้เลือดมีความเข้มข้นของเซเลเนียมที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากขึ้นอีกด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์เวลมา สโตนเฮาส์ หัวหน้าคณะนักวิจัย ยังแจ้งด้วยว่า เซเลเนียมนอกจากมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเป็น มะเร็งแล้ว ยังเชื่อว่ามันยังช่วยขจัดความเสี่ยงของโรคหัวใจอีกด้วย.

ที่มาจากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ความแตกต่างระหว่าง http:// กับ https://

ความแตกต่างระหว่าง http:// กับ https://

ข้อควรรู้ เกี่ยวกับ http vs https ที่เราเห็นบ่อยๆ แต่ไม่รู้ความแตกต่างว่า ตัว S ที่ต่อท้าย มีความหมายว่า “Secure” หรือก็คือ ปลอดภัย สำหรับการซื้อ การกรอกฟอร์ม เช่น บัตรเครดิต

เวลาเราท่อง website และอาจต้องทำธุรกรรมบางอย่าง เช่น ซื้อของ ใส่รหัสบัตรเครดิต อะไรทำนองนี้

ต้องระวัง ง่ายๆ โดยดูว่า website ที่เราจะทำการกรอกข้อมูลส่วนตัวของเราลงไปนั้นเป็น http:// หรือ https://

https:// ตัว S ที่ต่อท้าย มีความหมายว่า “Secure” หรือก็คือ ปลอดภัย สำหรับการซื้อ การกรอกฟอร์ม เช่น บัตรเครดิต ใน website ที่เป็น https

แต่ถ้าเราจะไปซื้อของ หรือ กรอกข้อมูลบัตรเครดิต ผ่านทาง website ที่เป็น http ไม่มี S ต่อท้าย ก็เตรียมตัวโดนแฮกข้อมูลส่วนตัวได้เลย เพราะมันไม่ secure

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน

ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1199745

สุภาษิต... อังกฤษ-Thai

สุภาษิต... อังกฤษ-Thai

กันไว้ดีกว่าแก้: Prevention is better than cure.

กินปูนร้อนท้อง: Conscience does make cowards of us all.

แกงจืดจึงรู้คุณเกลือ: You never miss the water till the well runs dry.

ไกลตา ไกลใจ: Long absent, soon forgotten. Out of sight, out of mind.

ขวานผ่าซาก: Call a spade a spade.

ของสูงแม้ปองต้องจิต มิคิดปีนป่ายจะได้หรือ: Nothing ventured, nothing have.

ข้างนอกขรุขระ ข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง: All are not thieves that dogs bark at.
Appearances are deceptive.


เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม: When in Rome do as the Romans do.

คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล: Keep not ill man company lest you increase the number.

คมในฝัก: Hide your light under a bushel.

ความรักเหมือนโรค บันดาลตาให้มืดมน: Love is blind.

งานเลี้ยง ต้องมีวันเลิกรา : All good things come to an end.

ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก อย่าได้ไว้ใจนัก: Never trust a sleeping dog, a
swearing Jew, a praying drunkard, or an sweeping woman.

ตบมือข้างเดียวไม่ดัง: It takes two to make a quarrel.

ที่แล้วมาก็แล้วกันไป: Forgive and forget. Let bygones be bygones. To err is human to forgive divine.

นารีงามสรรพเมื่อดับเทียน: All cats are grey in the dark.

มีเมียผิดคิดจนตัวตาย: Marry in waste and repent at leisure.

รักสนุก ทุกข์ ถนัด: No joy without annoy. No pleasure without repentance.

ขอบคุณบทความจากสาระแนดอทคอม

ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/12340.html

วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วันรัฐธรรมนูญ

วันรัฐธรรมนูญ

วันรัฐธรรมนูญ วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย

ความหมาย : รัฐธรรมนูญ หมายถึง กฎหมายว่าด้วยระเบียบการปกครองประเทศ

ความเป็นมา : การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การปกครองของชาติไทย เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ

สาเหตุที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

๑. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรีทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย

๒. หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ผลอันนี้ได้กระทบมาถึงไทยด้วย พระองค์ได้แก้ไขเศรษฐกิจโดยปลดข้าราชการออก ยังความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการ

๓. อิทธิพลจากตะวันตกเกี่ยวกับอุดมการทางการเมือง ทำให้กลุ่มคนหนุ่มต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน

๔. รัฐบาลได้ออกกฏหมายเก็บภาษี อาทิ ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน จากราษฎร

จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการทหาร และราษฎรทั่วไปจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการปฏิวัติ มีคณะผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหาร ซึ่งประกอบด้วยพันเอก พระยาพหลพยุหเสนา พันเอกพระยาทรงสุรเดช และพันเอกพระฤทธิอาคเนย์ เป็นผู้บริหารประเทศ

วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเรียกว่า "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว" สาระสำคัญของธรรมนูญการปกครองฉบับนี้ได้แก่ การที่กำหนดว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย การใช้อำนาจสูงสุดก็ให้มีบุคคลคณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรดังนี้ คือ

๑. พระมหากษัตริย์
๒. สภาผู้แทนราษฎร
๓. คณะกรรมการราษฎร
๔. ศาล

ลักษณะการปกครองแม้จะเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยแต่ก็ถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ เป็นสถาบันที่ถาวรและมีการสืบราชสมบัติต่อไปในพระราชวงศ์ การปฏิบัติราชการต่างๆ จะต้องมีกรรมการราษฎรผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ โดยได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการราษฎรจึงจะใช้ได้ สถาบันที่เกิดใหม่คือ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีอำนาจทางนิติบัญญัติออกกฎหมายต่างๆ ซึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้แล้วจึงมีผลบังคับได้ เหตุนี้ในระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สภาผู้แทนจึงเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือง ส่วนการใช้อำนาจตุลาการยังคงให้ศาลยุติธรรมที่มีอยู่แล้วพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามกฎหมายได้ตามเดิม

กระทั่งถึง วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร ซึ่งมีหลักการต่างกับฉบับแรกในวาระสำคัญหลายประการ อาทิได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นการปกครองแบบรัฐสภา ทั้งนี้เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๔๗๕ ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองเป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้งให้บริหารราชการแผ่นดิน แต่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทน รัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติมิได้ใช้แต่เพียงอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่มีอำนาจที่จะควบคุมคณะรัฐมนตรีในการบริหารแผ่นดินด้วย แต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาลก็มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนได้ หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัยหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญของรัฐที่มีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งใหม่ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์นั้นได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ้

รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นเครื่องกำหนดระเบียบแบบแผนของสังคม เพื่อเป็นการระลึกถึงรัฐธรรมนูญฉบับแรก อันเป็นฉบับถาวร และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย ทางราชการจึงกำหนด วันที่ ๑๐ ธันวาคมของทุกปี เป็นวันรัฐธรรมนูญ

ข้อมูลจาก : หนังสือ "วันสำคัญโครงการปีรณรงค์วัฒนธรรมไทยและแนวทางในการจัดกิจกรรม"
โดย สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๓๗

ที่มาจาก : www.bu.ac.th

ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=64&post_id=1289075

ความรัก.. มีค่ามากเพียงใด



ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=53&post_id=1289273

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ฉุกคิด... เพื่อชีวิตเปี่ยมสุข

ฉุกคิด... เพื่อชีวิตเปี่ยมสุข

จงทำดี... อย่าหวังค่าตอบแทน ถึงแม้จะเป็นเพียงคำสรรเสริญก็ตาม
จงทำดี... ให้มันดี ถึงแม้ผลงานออกมาไม่ดี ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว
จงทำดี.... แต่อย่าอวดดี เพราะทุกคนก็มีดีไม่เหมือนกัน

"คนโง่ไม่มีความพยายามที่จะเข้าใจอะไรได้เลย
ได้แต่เอะอะโวยวายว่า.. "ทำไมถึงเป็นแบบนี้"..."

คนเราเจอทั้งสุขและทุกข์.... เพราะว่าทำทั้งดี ทำทั้งชั่ว

"ถ้าหากเราอยากให้คนอื่นมาเข้าใจหรือเอาใจในตัวเรา
เหมือนกับว่าเรายังเป็นเด็กไร้เดียงสา...ไม่รู้จักเติบโตเลย ..."

"เราพยายามที่จะเข้าใจคนอื่น มากกว่าที่จะให้คนอื่นมาเข้าใจ
ตอนนี้เรากำลังจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว..."

"เราอย่าเข้าใจว่า..มีความทุกข์มากกว่าคนอื่น
คนอื่นมีความทุกข์มากกว่าเราก็ยังมี..."

"การร้องไห้เป็นการแสแสร้งที่แบบเนียนเหลือเกินในวันนี้..
เพราะพรุ่งนี้เราจะร้องเพลงก็ได้..."

จะให้ได้ดังใจเรานั้นทุกอย่างไม่มีเลย

เพียงแต่เรายอมรับเขาอยู่ในฐานะใดฐานะหนึ่งเท่านั้น..."

หากยึดถือมาก.. ให้ความสำคัญมันมาก... ทุกข์มาก
หากยึดถือน้อย.. ให้ความสำคัญมันน้อย ...ทุกข์น้อย

ยินดีไปตามความอยาก... คือความมักมากไม่มีสิ้นสุด

อุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่น... กับความรับผิดชอบ... มันคนละอย่างกัน

ทำดีในวันนี้... พรุ่งนี้จะดีของมันเอง

คนโง่จะเสียใจ... ร้องไห้ตลอดวัน โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
ส่วนคนฉลาด... จะรีบแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น... เท่าที่จะทำได้

เรารักในสิ่งใด... จะต้องจากในสิ่งนั้น... ช้าหรือเร็วมันอีกเรื่องหนึ่ง

"เรายืนอยู่บนสนามชีวิต... ต้องต่อสู้อุปสรรคทุกรูปแบบ
จนกว่าจะปิดฉากละครแห่งชีวิต.. ด้วยการตายลงไป..."

บทเรียนในตำราเรียน... กับบทเรียนในชีวิตจริง...มันคงละอย่างกัน

"ไม่มีตำราเล่มไหน... ที่จะสอนเราทุกย่างก้าว
ว่าวันนี้เราจะต้องเจออะไรบ้างและจะต้องแก้อย่างไร ?..."

เสียเงินทอง.. เสียสิ่งของ.. เสียเวลา.. และก็เสียใจ.. เป็นการจ่ายค่าเทอมชีวิต

"ที่จริงคนตาบอด... พิกลพิการเขาน่าจะเป็นทุกข์มากกว่าเรา
ทำไม ? เขายังยิ้มแย้มแจ่มใสได้..."

"คนอื่นสามารถบังคับเราเป็นเพียงบางเวลา
ส่วนใจของเรานั้น ไม่มีใครสามารถบังคับได้นอกจากตัวของเราเท่านั้น..."

"ทำไมเราจึงทุกข์กว่าคนพิกลพิการเล่า...
กายพิการ แต่ใจไม่ พิการ ใจพิการ แต่กายไม่พิการ อย่างไหนดีกว่ากัน ?..."

ขอบคุณบทความจากทำดีดอทเน็ต(จั่นเจา)

ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/12211.html

หมอเตือน! หน้าหนาวระวังเลือดหนืด

หมอเตือน! หน้าหนาวระวังเลือดหนืด

นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้สภาพอากาศเริ่มหนาวเย็น อาจทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน ทำให้เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ หอบหืด หรือหลอดลมอักเสบ รวมถึงปอดบวมด้วย อาการเบื้องต้นคอจะแห้ง เจ็บคอ เพราะฤดูหนาวอากาศแห้ง ฝุ่นละอองมาก โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง เนื่องจากร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ต้องสวมเสื้อผ้าให้ความอบอุ่นร่างกายอย่างเพียงพอ

"สภาพอากาศที่มีความหนาวเย็น หากใส่เสื้อผ้าให้ความอบอุ่นร่างกายไม่เพียงพอ จะมีผลทำให้ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี อาจทำให้ช็อคเสียชีวิตได้ เนื่องจากความเย็นจะทำให้เลือดมีความหนืด หัวใจต้องทำงานสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกายหนักขึ้น ที่น่าห่วงก็คือเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ ที่อยู่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งอากาศหนาวเย็นกว่าภาคอื่นๆ เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตสูงที่สุด เนื่องจากศูนย์ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายของเด็กยังทำงานไม่เต็มที่ อุณหภูมิร่างกายเด็กจึงเปลี่ยนแปลงได้ง่ายตามสภาพอากาศ ในปีที่ผ่านมีรายงานเสียชีวิตแล้ว 1 ราย" นพ.ปราชญ์กล่าว

นพ.สมศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กล่าวว่า สิ่งที่ต้องระวังในช่วงฤดูหนาวอีกเรื่องหนึ่งคือ ความเปียกชื้น โดยการอาบน้ำหรือชำระล้างตัวเด็ก ควรใช้น้ำอุ่นๆ และอาบน้ำในบริเวณที่ไม่มีลมโกรก เลือกเวลาที่อากาศไม่เย็นมาก เช่น ตอนบ่าย ส่วนในเด็กเล็กให้หมั่นเปลี่ยนผ้าอ้อม เมื่อเด็กปัสสาวะหรืออุจจาระเปียกแฉะ นอกจากนี้ ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ประเภทแป้งและไขมัน เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว เนื้อสัตว์ติดมัน ซึ่งจะช่วยสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย เด็กทารกควรให้กินนมแม่เพราะนอกจากเด็กจะได้รับภูมิต้านทานโรคจากนมแม่แล้ว การที่แม่โอบลูกขณะกินนมยังสร้างความอบอุ่นให้กับเด็กด้วย ส่วนเด็กโตนอกจากรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ริมฝีปากและผิวหนังไม่แห้งแตก

ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=64&post_id=1287557

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ผลักดันชีวิตด้วย....เข็มทิศหัวใจ

ผลักดันชีวิตด้วย....เข็มทิศหัวใจ

สาว ๆ หลายคนที่ต้องการให้ตัวเองนั้นประสบความสำเร็จในเรื่องต่าง ๆ ของชีวิต จำเป็นที่จะต้องมีการปรับเข็มทิศด้วยการสร้างพลังบวกให้เกิดขึ้นในใจ พลังบวกดังกล่าวจะกลายเป็นแรงผลักดันที่จะทำให้คุณเจอแต่สิงดี ๆ สิ่งที่คุณควรทำก็คือ......

1. สลัดเรื่องลบออกจากใจ เพราะเรื่องลบ เรื่องเศร้า มีกำลังที่จะบั่นทอนพลังอันยิ่งใหญ่ในตัวคนเราได้มากที่สุด ทำให้คนหดหู่ ดูห่อเหี่ยว ไม่มีกำลังวังชาที่จะขับเคลื่อนชีวิตไปข้างหน้าด้วยความสุขและความมั่นใจ ดังนั้น ถ้ามีความคิดติดลบหรือไม่ดีแวบเข้ามาในความคิด ขอให้หยุดมัน

2. ตั้งเป้าหมายแรกให้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เงิน ความสัมพันธ์หรือเรื่องใด ๆ ก็ตาม การตั้งเป้าหมายง่าย ๆ พอดีแรง พอจะเป็นไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก จะทำให้เรามีกำลังใจ และคิดถึงสิ่งที่ค่อย ๆ ใหญ่ตามกำลังความสารถของเรา ตามประสบการณ์หรือชั่วโมงบินของเรา ก็จะช่วยให้ก้าวถึงความสุขและความสำเร็จ สมหวังโดยไม่ท้อไปก่อน

3. ขอให้มีความเชื่อมั่นว่าคุณเก่ง คุณทำได้ เพราะการที่เริ่มคิดว่าคุณเป็นคนไม่เก่ง อะไรก็ทำไม่ได้ถ้าไม่มีคนเดินนำหน้า แค่คิดว่าทำไม่ได้ตั้งแต่แรก ก็ทำให้คุณไม่มีการก้าวเดินเกิดขึ้น ฉะนั้น คุณต้องคิดว่าคุณทำได้เสมอ และคุณมีความสุขอย่างยิ่งที่จะผลักดันให้เรื่องที่กำลังจะทำนั้นประสบความสำเร็จ

4. หนีให้ไกลคนที่มองโลกในด้านลบ โดยความจริงของสังคมคงจะหนียากสักหน่อย เพราะคนประเภทนี้จะแฝงกายอยู่ทั่วทุกสังคม แต่การเลือกที่จะคบหรือจะคุยคงต้องดูกาลเทศะหรือทิศทางลมให้ดี เพราะคุณอาจจะเข้าข่ายสมาคมคนมองโลกด้านลบ จนทำให้มองอะไรหรือใครต่อใครในแง่ร้ายไปหมด สิ่งที่เกิดขึ้นคือความคิดที่ไม่สร้างสรรค์หรือความคิดที่ไม่เป็นบวก ต่อทั้งการทำงานและการดำเนินชีวิต เป็นด้านอกุศล อัปมงคล เป็นแรงฉุดมากกว่าแรงผลัก ฉะนั้น จงขจัดนิสัยจับผิดคนอื่น เห็นปัญหาก่อนโอกาส หรือนิสัยด้านลบอื่น ๆ ไปเสีย

5. มองปัญหาเป็นโอกาส เพราะการที่คนเราจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่ต้องการได้ สนิทสนมรักใคร่กับคนที่ต้องการได้ มีชื่อเสียง มีการยอมรับนับถือ หรือมีความสำเร็จในชีวิตได้ ต้องผ่านการแก้ปัญหาทั้งเฉพาะหน้าและปัญหาโดยรวมให้ได้ก่อน ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นจะเป็นประสบการณ์ที่ดี จะทำให้เรามีพลังทำอะไรต่อไปได้ ถ้าเรารู้จักเรียนรู้จากปัญหา ยิ้มรับกับปัญหาที่เกิด แล้วใช้มันเป็นครู การก้าวผ่านปัญหาได้อย่างปลอดโปร่งครั้งแรกครั้งเล่า จะยิ่งเป็นพลังให้เราก้าวไปข้างหน้าต่อไป

6. รอบคอบกับสิ่งที่ทำ แต่ละคนมีการจัดรูปแบบการดำเนินชีวิตและการทำงานที่แตกต่างกัน เช่น การจดบันทึกการทำงานอย่างมีขั้นตอนทุกครั้งที่เริ่มทำงานจนปิดโครงการ นอกจากจะทำให้งานสามารถดำเนินการต่อไปด้วยทีมที่ทำงานร่วมกันแล้ว ยังแสดงความเป็นมืออาชีพของคุณอีกด้วย เช่นเดียวกับการเตรียมการพูด เตรียมหัวข้อประชุม เตรียมเสื้อผ้าล่วงหน้าในแต่ละวัน เรียนรู้ศิลปะการแต่งหน้าและการทำผมง่าย ๆ เพื่อจะคอยจัดการกับเสื้อผ้า หน้าผม ได้ด้วยตัวเอง คิดเสมอก่อนจะพูด มีรอยยิ้มเป็นของชำร่วย แจกให้กับทุกคนได้ โอภาปราศรัย มีความน่ารักในตัวเอง สิ่งเหล่านี้เป็นต้นทุนให้คุณได้สานต่อสิ่งดี ๆ อื่น ๆ ได้ตลอดทั้งวันและตลอดชีวิต

7. เก็บความรู้สึกที่ดีไว้เสมอ การทำงานเมื่อเสร็จงานก็จะต้องมีผลงานที่ได้ทำลงไป ส่วนจะเป็นโบว์แดงชิ้นใหญ่หรือชิ้นเล็กก็สุดแต่สิ่งที่ได้รับมอบหมาย ฉะนั้น ในวันที่คุณได้รับคำชมเชยจากผู้บังคับบัญชาหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ขอให้เก็บความรู้สึกที่ดีที่ได้รับไว้ในใจเสมอ เพราะสิ่งนี้จะทำให้คุณมีกำลังใจทุกครั้งที่ทำงานชิ้นใหม่ เช่นเดียวกับการคบเพื่อน มีคนรัก เดินทางท่องเที่ยว ฯลฯ ทุกวันเวลาในชีวิต มีนาทีที่ดีให้จดจำไว้เป็นกำลังใจในวันถัด ๆ ไปเสมอ


ถ้าสาว ๆ ทำทั้ง 7 สิ่งนี้ก็จะทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ไม่ยากเกินเอื้อมเลยนะคะ...........

โดย :หนูมะลิ (ทีมงาน TeeNee.Com) โพสเมื่อ [ วันพุธ ที่ 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา 08:45 น.]

ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/12057.html

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

"เหงื่อ" บอกโรค

"เหงื่อ" บอกโรค

เหงื่อจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อร่างกายสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น 2 อย่าง คือ ความร้อน และอารมณ์ ในทางการแพทย์ระบุว่า เหงื่อสามารถบ่งบอกอาการของโรคบางชนิดได้ ในนิตยสาร "ชีวจิต" ฉบับพ.ย. พ.ญ.เมทินี ไชยชนะ แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป โรงพยาบาลฝาง จ.เชียงใหม่ อธิบายว่า โรคที่สัมพันธ์กับเหงื่อมี 2 ประเภท คือ

1.โรคที่ทำให้เหงื่อออกมาก
- เครียด เหงื่อจะออกมากบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า รักแร้ และหน้าผาก ประกอบกับมีอาการอื่นร่วม เช่น ชีพจรเต้นเร็ว ใจสั่น มือสั่น
- ต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ หรือ คอพอก เหงื่อจะซึมออกมาทั่วตัว โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือทั้งสองข้าง ร่วมกับมีอาการขี้หงุดหงิด มือสั่น ขี้ตกใจ น้ำหนักลด ตาโปน ผมร่วง เหนื่อยง่าย ใจสั่น หิวน้ำบ่อย
- วัณโรค เหงื่อออกมากทั่วตัวในเวลากลางคืน สลับกับเป็นไข้ ไอเรื้อรัง
- เบาหวาน เหงื่อซึมทั่วตัว โดยเฉพาะที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ใจสั่น เหนื่อยหอบ หวิวๆ เหมือนจะเป็นลม
- โรคหัวใจ เหงื่อแตก ร่วมกับใจสั่น เหนื่อยหอบ ขณะออกกำลังกาย หากมีอาการแน่นที่คอและหน้าอก เหงื่อออกตามนิ้วมือนิ้วเท้าทุกครั้งที่ออกกำลังกาย มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจสูง
- ภาวะใกล้หมดประจำเดือน เนื่องจากสมองหลั่งฮอร์โมนเพศหญิง "โพรเจสเทอโรน" น้อยลง เหงื่อจะออกมากในเวลากลางคืน

2.โรคที่ทำให้เหงื่อออกน้อย
ผู้ที่เหงื่อออกน้อยผิดปกติ เนื่องจากต่อมเหงื่อทำงานบกพร่อง มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความร้อนในร่างกายสูง อาจก่อให้เกิดโรคตามมาดังนี้

- โรคผิวหนัง เช่น ผด ผื่น สะเก็ดเงิน ผิวแห้งแตกหยาบ เนื่องจากต่อมเหงื่อใต้ผิวหนังถูกกดไว้จนไม่สามารถขับเหงื่อได้ตามปกติ ทำให้เกิดอาการอุดตันในขุมขนและเป็นโรคได้ในที่สุด

- ไมเกรน คนที่มีความเครียดเป็นทุนเดิม ชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติ ทำให้เกิดการใช้พลังงานมากกว่าปกติ หากร่างกายได้รับการกระตุ้นจนเกิดความร้อนสะสมแต่กลับไม่มีเหงื่อออกมา อาจทำให้ใจสั่น นอนไม่หลับ เกิดภาวะปวดศีรษะอย่างรุนแรงจนเป็นไมเกรน

คุณหมอเมทินี เสริมว่า โรคที่ทำให้เกิดความผิดปกติของเหงื่อใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ต้องมีปัจจัยอื่นร่วมอีกหลายอย่าง แต่มีทางป้องกันได้ ด้วยการหมั่นดูแลสุขภาพตัวเอง ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1 ลิตร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเหงื่อของร่างกาย และเลือกสถานที่อยู่ให้เหมาะสม ไม่ร้อนหรือแห้งเกินไป จะช่วยป้องกันโรคอันเกิดจากต่อมเหงื่อทำงานบกพร่องได้
เก็บเรื่องมาเล่า : ชนา ชลาศัย

ที่มา นสพ.ข่าวสด

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เหตุเกิดที่ประตูรถ

เหตุเกิดที่ประตูรถ

เมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้น เป็นวันที่ข้าพเจ้ารีบร้อนมาโรงเรียนเป็นอย่างมาก จนทำให้เกิดเหตุการณ์หนึ่งที่ไม่คาดฝัน

เกิดขึ้น เรื่องมีอยู่ว่า... วันนั้นสมบัติขอบข้าพเจ้ามันมากมายเหลือเกิน ด้วยเหตุผลนี้เอง พอข้าพเจ้าปิดประตูรถ นิ้วของข้าพเจ้าเอา

ออกไม่พ้นประตู อารมณ์ในตอนที่ถูกประตูรถกระแทกเข้าอย่างแรง บอกได้คำเดียวว่า เจ็บปวด ทรมานเป็นที่สุด ที่สำคัญมากๆ คือ นิ้ว

ที่โดนคือ นิ้วนาง มือขวา มันคือมือขวา ทำเอาตอนนี้เล็บของข้าพเจ้าจากสีเนื้อเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม รู้สึกปวดเล็บเป็นที่สุดๆๆ ทรมาน

มากมาย เขียนหนังสือก็เริ่มจะไม่สะดวกแล้ว ไม่น่าเลยจริงๆ

ข้อคิดจากเหตุการณ์ครั้งนี้ คือ ไม่ควรรีบร้อน และควรระมัดระวังให้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้ได้ทราบซึ้งแล้วว่า เล็บที่โดน

ประตูกระแทกนั้น มันเจ็บปวดเหลือเกิน บางที่เหตุการณ์นี้อาจจะเกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความ โง่ ส่วนบุคคลก็เป็นได้ ว่าไหม?

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ความรู้เกี่ยวกับ "ธูป" - -ธูปกี่ดอก บอกอะไร?

ความรู้เกี่ยวกับ "ธูป" - -ธูปกี่ดอก บอกอะไร?

การจุดธูปบูชา หรือ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถือปฏิบัติกันมายาวนานนับพันๆ ปีแล้ว ลองดูสิว่าที่ผ่านๆ มา เราใช้ธูปสักการะกันถูกต้องตามจำนวนรึเปล่า

ธูป 1 ดอก ไหว้ศพ เจ้าที่ วิญญาณธรรมดา ที่ไม่ได้ขึ้นชั้นเทพ

ธูป 2 ดอก ใช้บูชาเจ้าที่

ธูป 3 ดอก ใช้บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ธูป 5 ดอก ใช้บูชาพระรัตนตรัย บูชารัชกาลที่ 5 ธาตุทั้งห้า หรือทิศทั้งห้า พระภูมิ

ธูป 7 ดอก ไหว้พระพรหม บูชาพระอาทิตย์ ถือคติคุ้มครองทั้ง 7 วันในสัปดาห์

ธูป 8 ดอก บูชาเทพเจ้าของชาวฮินดู

ธูป 9 ดอก บูชาแก้ว 9 ประการ พระพุทธคุณ ทั้งเก้า และพระเทพารักษ์

ธูป 10 ดอก ใช้บูชาเจ้าที่ตามความเชื่อของชาวจีนบางกลุ่ม

ธูป 12 ดอก บูชาเจ้าแม่กวนอิม บูชาพระคุณของแม่

ธูป 16 ดอก บูชาเทพชั้นครู หรือ พิธีกลางแจ้ง ที่มีการอัญเชิญเทวดา ที่สำคัญหมายถึงสวรรค์ 16 ชั้น

ธูป 19 ดอก บูชาเทวดาทั้ง 10 ทิศ

ธูป 21 ดอก บูชาพระคุณของพ่อ

ธูป 32 ดอก ใช้สวดชุมนุมเทวดาทั้ง 4 ทิศ

ธูป 108 ดอก บูชาสิ่งสูงสุดทั่วทั้งโลกทุกชั้นฟ้า

พึงระลึกไว้เสมอว่า การกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เพื่อขอพรก็จะไม่เป็นผลอะไร หากคุณเองยังไม่ได้พยายามอย่างที่สุด และหาทุกหนทาง เพื่อขะช่วยเหลือตนเอง

ที่มา: http://www.mcot.net

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

If everybody in the world could have exacly what he/she wanted,would the world be a better place?

If everybody in the world could have exacly what he/she wanted,would the world be a better place?

Answer: I think, the previous sentence it false because If we could have sth what we wanted, Everybody would want sth that he/she like, Maybe something that he/she want might have an affect on the other. Therefore, we should want sth that don't affect on people. Because Everybosy have to coexist in the social. But be not that we mustn't want in the thing that we want. we should want the thing that don't affect on the other. Only Every in the social will coexist happily

If You really want to do sth you can do it. True or False?

If You really want to do sth you can do it. True or False?

Answer: If I really want to do sth I can do it. the last sentence,I think it true because Everybody has sth that ha/she want to do. That is why Everybody will
attempt to do sth actually. If we try to do sth and practice a lot, we can
do to sth surely. For example everyone would like to get "4", we have to attempt, practice a lot , do homework everyday, read and read a lot.Concluding, If We would like to do sth succeed, I think, The first at all, we should start to love sth that we want to do. After we should attempt to take it succeed.Only we will succeed By all means.

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

รู้จักกับคำย่อทั้งหลายในภาษาอังกฤษ..

รู้จักกับคำย่อทั้งหลายในภาษาอังกฤษ..

Abbr.
Abbr. (Abbreviation)

Abbreviation หรือคำย่อทั้งหลายในภาษาอังกฤษครับ อันนี้เป็นสไตล์ที่ชาวอเมริกันใช้กันห หรือบางอันก็ใช้ทางยุโรปด้วย ตอนมาแรกๆ เจอคำย่อพวกนี้ก็งงครับ แต่ตอนนี้ก็เริ่มชินและก็ใช้บ้างเองบ้าง เหมือนกับวัยรุ่นไทยเน๊อะ ชอบสร้างคำย่อกัน อย่าง ร.น. ย่อมาจาก 'รักนะ' อะไรประมาณนี้ มาดูกันครับว่ารวบรวมอะไรมาได้บ้าง

BFF = Best Friend Forever เพื่อนรักตลอดกาลครับ

LOL = Lot of Laught ขำกลิ้ง ฮาแตก

TC = Take Care ดูแลตัวเองนะ

LUV = LOVE หรือ รัก วัยรุ่นชอบใช้ I LUV U เพื่อความเด็กแนว

OSM = Awesome เจ๋งมากๆ (OSM มาจากเสียงแบบ อื้อหืออ ประมาณนั้น)

BTW = By the Way ยังไงก็ตาม

OMG = Oh My God! เป็นคำอุทานของฝรั่งเขาครับ อะไรก็ Oh My God ไว้ก่อน OMG!!

Thx = Thanks ขอบคุณครับ ขอบคุณค่ะ

Pls = Please ได้โปรดเถิดดด

P.S = Post Script (after writing) ใช้คล้ายๆ กับ ปล. เปล่าลืม

MHM = Yes! ใช่ เห็นด้วย (มาจากเสียง อื้ม เวลาพยักหน้า)

JK = Just Kidding ล้อเล่นจ้า

IOU = I Owe You ฉันติดเงินเธออยู่นะ Owe = ติดหนี้

ASAP = As Soon As Possilbe เร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้

Ave = Avenue ถนนที่มีสายหลัก (ส่วนมากจะมีต้นไม้)

99 = Nighty Night คล้ายๆ กับพูดว่า Good Night

PC = Personal Computer เครื่องคอมครับ

WTF = What The F**K เป็น**อะไร



BYOB = Bring Your Own Beer ใช้ในวงการร้านอาหารครับ แปลว่าร้านนี้สามารถนำเบียร์ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลายมากินเองได้

SMS = Short Message Service บริการส่งข้อความ

VS = Versus ตรงข้ามกัน / ต่อสู้กัน

Corp = Corporation บริษัท สมาคม

B-R-B = Be Right Back เดี๋ยวกลับมาครับ

TTYL = Talke to You later คุยกันวันหลังนะ

เป็นไงครับคำที่ยกตัวอย่างมา คุ้นๆ หรือเคยเห็นบ้างไหม ยกมาทั้งคำที่ใช้กันอย่างเป็นทางการ อย่าง BYOB ที่ใช้กันในวงการ คำที่ใช้กันประจำอย่าง ASAP จนถึงคำที่ไม่เป็นทางการเลย อย่าง JK เนี่ย ส่วนมากวัยรุ่นใช้กันเวลา chat หรือ text message ครับ

หวังว่าจะเป็นประโยชน์กันไม่มากก็น้อยครับ ยังไงก็ CU (See You) ครับ

ที่มาจาก :: http://diary.yenta4.com/diary.php?Christopher_K

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สรุปเรื่องหัวใจชายหนุ่ม

สรุปเรื่องหัวใจชายหนุ่ม

1. ฉบับที่ 1

นายประพันธ์ ประยูรสิริ ได้ส่งจดหมายถึงนายประเสริฐ สุวัฒน์ ซึ่งเป็นเพื่อนรักกันเป็นฉบับแรก เนื้อความในจดหมายกล่งถึง
การเดินทางกลับมายังประเทศไทยจากลอนดอนของนายประพันธ์ นอกจากนั้นยังบรรยายถึงความเสียใจที่ไปกลับประเทศไทยและการดูถูกบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง และได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางกลับภายใจเรือโดยสาร คือ ได้พบปะกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ตนเองสนใจ แต่ต้องผิดหวังเนื่องจากหล่อนมีหวานใจมารอรับที่ท่าเรืออยู่แล้ว

2. ฉบับที่ 4

จดหมายในฉบับที่ 4 นี้กล่าวถึง การกลับมาถึงประเทศไทย และการเข้ารับราชการซึ่งใช้เส้นแต่ไม่สำเร็จผล นอกจากนี้คุณพ่อของนายประพันธ์ได้หาภรรยาไว้ให้นายประพันธ์แล้ว หล่อนชื่อ กิมเน้ยเป็นลูกสาวของนายอากรเพ้งซึ่งพ่อของนายประพันธ์รับรองว่าเป็นคนดีสมควรแก่นายประพันธ์ด้วยประการทั้งปวง แต่ด้วยนายประพันธ์เป็นนักเรียนนอก จึงไม่ยอมรับเรื่องการคลุมถงชน จึงได้ขอดูตัวแม่กิมเน้ยก่อน นอกจากนั้นในจดหมายได้เล่าถึง การพบปะกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ตนถูกใจที่โรงพัฒนากรด้วย

3. ฉบับที่ 5

จดหมายฉบับที่ 5 กล่าวถึง การได้เข้ารับราชการของนายประพันธ์ นายประพันธ์ได้เข้ารับราชการในกนทพานิชย์และสถิติพยากรณ์ และนายประพันธ์ได้พอกับแกิมเน้ย หน้าตาของหล่อนเหมือนนายซุนฮูหยิน แต่ก็ยังไม่เป็นที่ถูกใจของนายประพันธ์ นอกจากนั้นนายประพันธ์ได้เล่าถึงผู้หญิงที่เจอในโรงพัฒนากร หล่อนชื่อ นางสาวอุไร พรรณโสภณ เป็นลูกสาวของพระพินิฐพัฒนากร

4. ฉบับที่ 6

จดหมายฉบับที่ 6 กล่าวถึง การได้นับพบแม่อุไร การไปเที่ยวในระหว่างงานฤดูหนาวทุกวัน ทุกคืน และได้บรรยายถึงรูปร่างลักษณะองแม่อุไร ว่าเป็นคนสวยน่ารัก และกล่าวว่า แม่อุไรงามที่สุดในกรุงสยาม แม่อุไรมีลักษณะเหมือนฝรั่งมากกว่าคนไทย มีการศึกษาดี โดยสิ่งที่นายประพันธ์ชอบมากที่สุดคือ การเต้นรำ ซึ่งแม่อุไรก้อเต้นรำเป็นอีกด้วย

5. ฉบับที่ 9

จดหมายฉบับที่ 9 กล่าวถึง การแต่งงานการแม่อุไรโดยรีบรัด เนื่องจากสาเหตุการนัดพบเจอกันบ่อยครั้ง จนทำให้แม่อุไรตั้งครรภ์ขึ้นมา การสู่ขอนั้นคุณพ่อได้ไปขอให้ท่านเจ้าคุณมหาเล็กไปสู่ขอ หลังจากแต่งงานทั้งคู่ได้ไปฮันนี่มูนที่หัวหินด้วยกัน.

What would you like to be? And your parent like to me to be?

What would you like to be? And your parent like to me to be?

For me

I would like to be a teacher because I like to teach feel good when I tough.
I would like to teach about Science because I study in Math-Sci Program. I think, Science is very important in the present or future. Everybody is almost to use them in our life. I use to hear that "Country will progress that must use about knowladge of Science". That is why I would like to be a teacher. And I would like to get a scholarship in the university.

For my parent

My parent would like me to be a researcher. My parent used to tell me
"Be enjoy studying" And I would like to be the same way. My father told me "English is very important,who use english well, will progress in vocation"

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ปวดท้องตรงไหน เป็นอะไรกันแน่

ปวดท้องตรงไหน เป็นอะไรกันแน่

อาการปวดท้องมักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ

แต่ส่วนมากเราจะไม่ค่อยรู้สาเหตุว่าปวดเพราะอะไร ทนได้ก็ทน แค่ถ้าทนไม่ได้ถึงจะกินยาแก้ปวด มูลนิธิหมอชาวบ้านจึงให้คำแนะนำว่า หน้าท้องแข็งเป็นดาน กดแล้วเจ็บ หรือกดแล้วท้องยุบลงไป แต่เจ็บทันทีที่ปล่อยมือ มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระมีสีดำ ปัสสาวะไม่ออกหรือถ่ายเป็นเลือด หน้าซีด เป็นลม ตัวเย็น เหงื่อออก ไม่รู้สึกตัว เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตัวเหลือง อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือข้อใดข้อหนึ่ง ต้องรีบไปหาหมอทันที
เราสามารถแบ่งบริเวณที่ปวดท้องได้เป็น 9 ส่วน คือ
1. ชายโครงขวา คือตับและถุงน้ำดี

อาการที่พบมักจะกดแล้วเจอก้อนแข็งร่วมกับอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า อาจเป็นโรคเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี เช่น ตับอักเสบ ฝีในตับ ถุงน้ำดีอักเสบ
2. ใต้ลิ้นปี่ คือ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับ และกระดูกลิ้นปี่

- ปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะ

- ปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน อาจเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ

- คลำเจอก้อนเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดใหญ่ อาจหมายถึงตับโต

- คลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ มักเป็นกระดูกลิ้นปี่


3. ชายโครงขวา คือ ม้าม ซึ่งมักจะคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณนี้
4. บั้นเอวขวา คือท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่

- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติหรือถ่ายเป็นเลือด อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ

- ปวดร้าวถึงต้นขา อาจเป็นนิ่วในท่อไต

- ปวดร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น อาจเป็นกรวยไตอักเสบ

- คลำเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นไตโตผิดปกติหรือเนื้องอกในลำไส้ใหญ่

5. รอบสะดือ คือ ลำไส้เล็ก มักพบในโรคท้องเดินหรือไส้ติ่งอักเสบ (ก่อนจะย้ายมาปวดท้องน้อยขวา) แต่ถ้าปวดแบบมีลมในท้อง ก็อาจเป็นเพราะกระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ
6. บั้นเอวซ้าย คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ (เหมือนข้อ 4)
7. ท้องน้อยขวา คือ ไส้ติ่ง ท่อไต และปีกมดลูก

- ปวดเกร็งเป็นระยะ ร้าวมาที่ต้นขา อาจเป็นเพราะมีก้อนนิ่วในกรวยไต

- ปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก มักเป็นไส้ติ่งอักเสบ

- ปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว มักเป็นเพราะปีกมดลูกอักเสบ

- คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ

8. ท้องน้อย คือ กระเพาะปัสสาวะและมดลูก

- ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายกระปริบกระปรอย มักเป็นเพราะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

- ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน เป็นอาการปวดประจำเดือน แต่ในรายที่ปวดเรื้อรังในหญิงแต่งงานแล้วไม่มีบุตร อาจเป็นเนื้องอกในมดลูก

9. ท้องน้อยซ้าย คือ ปีกมดลูกและท่อไต

- ปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา มักเป็นนิ่วในท่อไต

- ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว เป็นเพราะมดลูกอักเสบ

- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ

- คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ อาจเป็นเนื้องอกในลำไส้.

ขอขอบคุณเนื้อหาดีดี โดย:ชีวจิต
ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/11255.html

วิธีต้มบะหมี่สำเร็จรูปที่ถูกต้อง *~

วิธีต้มบะหมี่สำเร็จรูปที่ถูกต้อง *~

ปกติเราจะใส่บะหมี่ในน้ำพร้อมเครื่องปรุงและต้มประมาณ 3 นาทีจนเดือด
ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด!!
การใส่เครื่องปรุงในน้ำและต้มจนเดือด จะทำให้ผงชูรสเปลี่ยนเป็นสารพิษ ดังนั้นเส้นบะหมี่สำเร็จรูปซึ่งเคลือบด้วย wax ผสมผงชูรส ก็จะกลายสภาาพเป็นสารพิษเมื่อต้มในน้ำเดือด ซึ่งร่ายกายต้องใช้เวลา 4 - 5 วันในการขับ wax ผสมผงชูรสซึ่งกลายสภาพเป็นสารพิษนี้ออกจากร่างกาย

วิธีการต้มบะหมี่ที่ถูกต้อง!!
1.เทบะหมี่สำเร็จรูปในน้ำและต้มจนเดือด
2.เมื่อบะหมี่สุกแล้ว เทน้ำที่ต้มบะหมี่ทิ้ง (เป็นการเท wax ผสมผงชูรสซึ่งเป็นสารพิษทิ้งไป)
3.ต้มน้ำให้เดือดอีกครั้ง และใส่เส้นบะหมี่ที่ต้มไว้แล้วตามข้อ 2 และปิดไฟ (ปิดเตาแก๊ส หรือเชื้อเพลิงอะไรก็แล้วแต่ที่ใช้ต้มน่ะ)
** เมื่อปิดไฟ (เชื้อเพลิง ฯลฯ) เรียบร้อยแล้ว จึงใส่เครื่องปรุงขณะน้ำยังร้อน** (ผงชูรสในเครื่องปรุงจะได้ไม่กลายเป็นสารพิษอีก)
ถ้าเป็นบะหมี่ชนิดแห้ง เมื่อเทน้ำตามข้อ 2 ทิ้งแล้ว
จึงใส่เครื่องปรุงผสมให้เข้ากัน ก่อนรับประทาน
เพื่อสุขภาพของคุณเอง

ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/11278.html

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Bio @ RUPB

เมื่อวาน ดิฉันกับเพื่อนอีก 3คน ได้ไปทำกิจกรรมที่ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
มีกิจกรรมหลายอย่างมากที่พวกเราได้ทำ




ทำอาหารเลี้ยงเชื้อ Potato Dextrose Agar 2 ลิตร

มันฝรั่งต้ม















ช่วยกันล้างเพลตให้สะอาด

ตัดใบพืช และกิ่ง ที่นำมาศึกษา

10 วิธีในการคลายความเครียด

10 วิธีในการคลายความเครียด

1. ฟังเพลง หามุมสงบ
นั่งปล่อยใจให้ล่องลอยอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วฟังเพลง เบา ๆ โดยเฉพาะเพลงจำพวก Meditation ซึ่งเดี๋ยวนี้มีให้เลือกหลากหลายแบบตามความต้องการ ทั้งเสียงของดนตรี บรรเลงหรือเสียงธรรมชาติ จำพวกเสียงคลื่น..เสียงน้ำตก..เสียงนกร้อง รับรองว่าจะช่วยสร้างสมาธิให้กลับคื่นสู่สมองและจิตใจได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ เชียวล่ะ

2. ฉายเดี่ยวดูภาพยนตร์
ขอแนะนำให้ฉายเดี่ยวแล้วตีตั๋วดูหนังดีๆ สักรอบ เพราะการไปดูหนังเนี่ยเป็นวิธีที่เวิร์คที่สุดที่จะปลดปล่อยความรู้สึกให้ ล่องลอยอย่างเป็นอิสระไม่จมอยู่กับปัญหา แถมระบายความอัดอั้นตันใจได้อย่างเห็นผล แต่ต้องถามตัวเองก่อนนะว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน เช่น ถ้าอยากร้องไห้ก็ไปดูหนังรักเศร้าเคล้าน้ำตาแล้วก็ร้องไห้ออกมาซะให้พอ หรือถ้าเครียดจัดก็จงไปดูหนังตลกแล้วหัวเราะให้หลุดโลกไปเลย

3. โทรหาเพื่อนรู้ใจ
อย่าคิดว่าตัวเองจะแก้ปัญหาทุกปัญหาได้ดีไปซะหมด หัวใจสาวมั่นแม้จะแกร่งเพียงใดก็ยังต้องการที่พึ่งพิงเสมอ ยกหูโทรศัพท์หาเพื่อนรู้ใจสันคนแล้วระบายความรู้สึกให้เพื่อนได้รับรู้ เพราะการมีคนรับฟังและให้คำปรึกษา จะทำให้ชีวิตที่เอียงกะเท่เร่เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่า ไม่ได้แบกปัญหาอยู่คนเดียวในโลกไงล่ะ

4. เขียนไดอารี่
การเขียนไดอารี่เปรียบเสมือนการเปิดประตูอารมณ์ที่ปล่อยให้ความอัดอั้นตันใจต่างๆ ได้ไหลลงสู่หน้ากระดาษอย่างเป็นอิสระและเป็นส่วนตัวที่สุด เพราะการถ่ายเทความรู้สึกในใจออกมา จะทำให้จิตใจปรับสมดุลได้เร็วขื้น อีกทั้งระหว่างการเขียนไดอารี่นั้นยังถือเป็นการทบทวนความรู้สึกตัวเองที่ดี ที่สุดด้วย ส่วนข้อดีสุดเลิศอีกข้อก็คือ ไดอารี่เป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ที่สุด เพราะรับฟังเราเสมอและไม่เคยเอาความลับไปบอกต่อไงล่ะ

5. พลังแห่งการสัมผัส
ลองมองหาใครสักคนช่วยโอบกอดหรือสัมผัสเบา ๆ เวลารู้สึกเหนื่อยล้าดูสิ เพราะร่างกายคนเราเวลาถูกสัมผัสเนี่ย จะทำให้เกิดฮอร์โมนที่ชื่อ "อ๊อกซี่โทชิน" ซึ่งมีผลในการลดระดับความเหนื่อยและความเครียด ช่วยให้ร่างกายที่กำลังอ่อนล้ารู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

6. สร้างอารมณ์ขัน
พยายามมองหาเพื่อนที่มีอารมณ์ขันช่วยกระตุ้นจิตใจที่แสนห่อเหี่ยวให้หัวเราะได้อีกครั้ง เพราะคนที่หัวเราะง่ายจะมีสุขภาพจิตที่ดี เนื่องจากการหัวเราะจะช่วยลดความดันโลหิตและระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลลง (ฮอร์โมนคอร์ติซอล = ฮอร์โมนแสดงความเหนื่อยล้าในกระแสเลือด) แถมยังช่วยเสริมสร้างระดับของ "อิมโมโนโกลบูลินเอ" ซึ่งเป็นสารแอนตี้บอดี้ที่สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายอีกด้วยนะ เพราะฉะนั้นหัวเราะเข้าไว้ แล้วจะดีเอง

7. สูดกลิ่นหอม
รู้หรือเปล่าว่า...กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์มีผลในการช่วยปลุกประสาทสัมผัสให้สดชื่นตื่นตัว แถมยังกระตุ้นพลังงานในจิตใจได้เป็นอย่างดี เวลาเครียด ๆ ก็ลองสูดกลิ่นหอมของดอกไม้สิ อย่างกลิ่นกุหลาบ มะลิ ลาเวนเดอร์ หรือจะหยดน้ำมันหอมระเหยในน้ำอุ่นกำลังดี แล้วนอนแช่ตัวให้เพลินสักครึ่งชั่วโมงก็ได้ กลิ่นหอมจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้อย่างบอกไม่ถูกเชียวล่ะ

8. ไปตากอากาศ
หาเวลาหลบไปสูดอากาศบริสุทธิ์กับชีวิตท่ามกลางธรรมชาติสักพัก สิ หายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ ปล่อยสมองให้ว่างที่สุด แล้วก็นอนให้มากที่สุดเท่าที่อยากจะนอน เพราะบางทีความรู้สึกเหนื่อยล้าและหดหู่แบบไม่ทราบสาเหตุเนี่ยมันมาจาก ชีวิตที่ยุ่งเหยิงจนเกินไป เพราะฉะนั้นหลบไปนอนตากน้ำค้างดูดาวเสียบ้าง หัวใจจะได้ชาร์จพลังได้ดีขึ้น

9. หาสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน
ลองหาสัตว์เลี้ยงสักตัวมาเป็นเพื่อนเล่นก็ไม่ เลวนะ เพราะการให้เวลากับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด คุยเล่น หยอกล้อกับมันเสียบ้าง จะช่วยให้จิตใจอันแสนจะฟุ้งซ่าน สงบลงได้ แถมรู้จักการให้และมองโลกในแง่ดีมากขึ้นอีกต่างหาก ที่สำคัญยังช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วยนะ

10. จินตนาการแสนสุข
อีกทางเลือกสำหรับการบรรเทาความหดหู่ในส่วนลึก เป็นการดึงตัวเองออกจากโลกปัจจุบัน ทำได้โดยหลับตาแล้วหายใจลึก ๆ จากนั้นก็สร้างจินตนาการถึงความฝันที่วาดหวังเอาไว้ หรือแม้แต่ความหลังอันแสนสุขที่เคยมีการดึงความสุขจากจินตนาการมาใช้จะ ทำ ให้เกิดพลังสร้างสรรค์ในหัวใจ และยังช่วยสลายความเครียดข้างในได้เป็นอย่างดี ทำแบบนี้เงียบๆ สัก 5 นาที รับรองรู้สึกดีแบบทันตาเห็น

เขียนโดย BKK ที่ 10:49
ที่มา : http://heyhaparty.blogspot.com/2007/10/10_21.html

8 เคล็ด (ไม่ลับ) หลับสบาย

8 เคล็ด (ไม่ลับ) หลับสบาย

คุณมีอาการแบบนี้หรือไม่? ระหว่างนอนรู้สึกว่าสมองยังคงคิดเรื่องต่างๆ อยู่ หลับไม่สนิท ตื่นเป็นระยะ บ่อยครั้งตื่นในตอนเช้าด้วยความงัวเงีย และรู้สึกไม่แจ่มใสไปทั้งวัน นั่นเป็นเพราะคุณกำลังเข้าใกล้วงจรของอาการนอนไม่หลับ

"นอนไม่หลับ" นับเป็นอาการยอดฮิตของหลายๆ คน ที่ส่วนมากเกิดจากความเครียด โดยเฉพาะวัยเรียนและวัยทำงาน ที่กังวลเกี่ยวกับงานและเรื่องต่างๆ มากเกินไป จนกลายเป็นความคิดมาก เครียด และนอนไม่หลับ

บ่อยครั้งในระหว่างวันจะรู้สึกง่วงนอนและอ่อนเพลีย ส่งผลให้การเรียนการทำงานขาดประสิทธิภาพ "เกร็ดน่ารู้" สัปดาห์นี้มี Tips ง่ายๆ ช่วยให้หลับสบายมาฝากกัน

1. ตื่นและนอนให้เป็นเวลา โดยใน 1 วัน ควรนอนให้ได้ 8 ชั่วโมง และทำให้เป็นประจำทุกวัน

2. ฝึกนั่งสมาธิก่อนนอน เพื่อไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่าน

3. วางแผนงานที่จะสะสางในวันพรุ่งนี้ให้เป็นระบบ เพื่อลดการคิดซ้ำซาก

4. อย่ากังวลกับงานจนเกินไป เมื่อถึงเวลานอนก็ควรนอนให้หลับสนิท เพื่อพักสมอง และเตรียมลุยงานในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะเป็นผลดีกับประสิทธิภาพของงาน

5. หากลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำมันหอมระเหยวางในห้อง จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและหลับง่ายขึ้น

6. ดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอน จะช่วยคลายเครียด ผ่อนคลายประสาท

7. หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เนื่องจากมีคาเฟอีนมากระตุ้นทำให้นอนไม่หลับ

8. เปิดเพลงเบาๆ ฟังสบายๆ จะให้ความรู้สึกสงบ

เพราะ...การหลับสนิทเป็นการพักผ่อนที่ช่วยชาร์จพลังที่ดีที่สุด ดังนั้น การสร้างสุขลักษณะการนอนที่ดี รู้จักผ่อนคลายเรื่องเครียดกังวล จะส่งผลดีต่อร่างกาย สติปัญญา และช่วยบอกลาอาการนอนไม่หลับได้

คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://hilight.kapook.com/view/30224

ที่ยืนยังมีอยู่...

ที่ยืนยังมีอยู่...

ขอขอบคุณข้อมูลจาก tamdee.net
บทความโดย... ลูกปัด
ภาพประกอบจาก glitter.kapook.com

วันที่อุปสรรคและปัญหาถาโถมมาสู่ชีวิต...
ได้กลายเป็นวันที่ความหวังอับแสง
และเหมือนชีวิตมืดมน...

หลายคนเฝ้าตัดพ้อและคร่ำครวญ
ว่าชีวิตไม่มีหนทางไปไหน... โลกไม่มีที่ให้อยู่
เหมือนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า
แค่ผลักประตูออกไป...
ก็มีถนนมากมายรออยู่ตรงหน้า

มีสิ่งใหม่ในชีวิตอีกร้อยพันอย่างให้เรียนรู้
มีความหวัง... ความฝันมากมายรอให้ไขว่คว้า
มีมือของใครต่อใครอีกมากมาย...
ที่ยื่นมาให้เราเกาะเพื่อลุกขึ้น
มีดวงตะวันดวงใหญ่ที่จะฉายแสงอยู่ในทุกๆ เช้า

อย่างนี้แล้วโลกจะมืดมนตรงไหน...
จะไม่มีทางไปตรงไหน...
โลกไม่มีที่ให้อยู่ตรงไหน...
หรือถ้าโลกไม่มีที่ให้อยู่จริงๆ
ไม่มีที่จะอยู่จริงๆ
ก็อยู่ไปก่อน...
ตรงที่เท้ายืน...

ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/30218

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เงินสิบบาท

เงินสิบบาท

ถ้าเรามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร?

ครูคนหนึ่งตั้งคำถามกับเด็กว่า 'ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร' เด็กส่วนใหญ่ตอบว่า '7 บาท'

แต่มีเด็ก 2คนที่ตอบไม่เหมือนกับคนอื่น คนหนึ่งตอบว่า '2 บาท' อีกคนหนึ่งตอบว่า 'ไม่ต้องทอน'

ครูถามเด็กคนแรกว่าทำไมถึงได้เงินทอน 2 บาท คำตอบที่ได้ก็คือภาพในใจของเขาสำหรับเงิน 10 บาท คือ เหรียญห้า 2 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ให้เหรียญห้า 1 เหรียญ ดังนั้น จึงได้เงินทอน 2 บาท

ถามเด็กคนที่สองว่าทำไมไม่เหลือเงินทอนเลย
คำตอบก็คือเด็กคนนี้คิดว่าในกระเป๋ามีเหรียญบาท 10 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ส่งเหรียญบาทให้ 3 เหรียญ เพราะฉะนั้น คนขายจึงไม่ต้องทอนเงินให้เขา

โชคดีที่เป็นการถาม-ตอบในห้องเรียน ลองนึกดูสิครับว่าถ้าโจทย์นี้เป็นข้อสอบที่มีคำตอบเป็น ก-ข-ค-ง เด็ก 2 คนนี้ก็คงไม่ได้คะแนนจากคำตอบที่ผิดเพี้ยนจากคนส่วนใหญ่
การสร้างโจทย์ที่ 'เสมือนจริง' จินตนาการของ 'ครู' อาจถูกจำกัดเพียงแค่ 'ตัวเลข' แต่สำหรับเด็ก จินตนาการของเขาไร้กรอบ 10 บาท จึงสามารถเปลี่ยนเป็นเหรียญสิบ เหรียญห้า หรือเหรียญบาท

เมืองไทยมีเหรียญ 2 บาท เราจึงได้คำตอบเพิ่มอีก 1 คำตอบ คือ ได้เงินทอน 1 บาท

โลกในห้องเรียนกับโลกของความเป็นจริงนั้นแตกต่างกัน โลกในห้องเรียน ทุกคำถามส่วนใหญ่มีเพียง 1 คำตอบ แต่โลกของความเป็นจริง ทุกคำถามอาจมีคำตอบที่ถูกต้องได้เกิน 1 คำตอบ

'อย่ารีบตัดสินความผิดถูกของคนๆ นั้น เพียงแค่ คำตอบ ของเรา'

อย่าหยุดความคิดสร้างสรรของคนๆ นั้น ด้วยกรอบความคิดของเรา

ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/11222.html

เพื่อนตั้งแต่ a-z (A-Z The (Friend) Series)

เพื่อนตั้งแต่ a-z
A-Z The (Friend) Series

มีหลายสิ่งที่คุณรู้สึกได้ ในมิตรภาพที่ไร้ข้อจำกัดของความเป็นพื่อน ความผูกพันเหล่านั้นถูกถ่ายทอดผ่านตัวอักษรเพื่อบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ที่แสนจะพิเศษของทุกๆคนที่มีเพื่อน
คุณขาดข้อไหนหรือเปล่า
Always be homest , would you want them to lie to you?
จงซื่อสัตย์เสมอ...... คุณต้องการให้เพื่อนโกหกคุณเหรอ

Be there when they need you, or you may wind up alone
จงอยู่เคียงข้างเมื่อเขาต้องการ.....หรือคุณต้องการจะอยู่คนเดียว

Cheer them on, wi all need encouragement now and then
ให้กำลังใจ......เราทุกคนต่างก็ต้องการการสนับสนุนเป็นบางครั้ง

Don't look for their faults, even if you have none
อย่ามองหาข้อผิดพลาดของเขา.....แม้ว่าคุณจะไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่ข้อเดียว

Encourage their dreams, what would we be without them?
สนับสนุนให้เขาทำตามความฝัน.......เราจะอยู่อย่างปราศจากความฝันได้อย่างไร

Forgive them, you just may do somethin wrong sometime
ให้อภัย ....คุณอาจจะเคยทำผิดพลาดในบางเวลา

Get together often, misery loves company, so does glee
เจอกันบ่อยๆ...... เมื่อมีความทุกข์ ต้องมีเพื่อนเพราะการคบค้าสมาคมทำให้เกิดความสนุกสนาน

Have faith in them, the human animal is remarkable
มีศรัทธาในเพื่อน.....การมีศรัทธาเป็นสิ่งที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากสิ่งมีชีวิตอื่น

Include them, you mayneed to be included sometime
รวมเขาเข้าไปด้วย......คุณก็อาจจะต้องการถูกรวมบ้างบางครั้ง

Just be there when they need you
อยู่ข้างๆ.......เมื่อเขาต้องการคุณ

know when they need a hug, and couldn't you use one?
รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาต้องการให้กอด...เคยกอดเพื่อนบ้างหรือยัง

Love them unconditionally, that is the only condition
รักโดยไร้ข้อแม้........นี่เป็นเพียงเงื่อนไขข้อเดียวเท่านั้น

Make them feel spicial, because aren't we all special?
ทำให้เขารู้สึกเป็นคนพิเศษ.. เพราะเราทุกคนก็เป็นคนพิเศษไม่ใช่เหรอ ?

Never forget them, who wants to feel forgotten
อย่าลืมเพื่อน........ ใครบ้างอยากถูกลืม

Offer to help, and know when " Nothanks" is just politeness
เสนอตัวที่จะช่วยเหลือ......และควรรู้ว่าเมื่อไหร่ที่คำว่า "ไม่เป็นไร ขอบคุณ "เป็นคำพูดแค่เพื่อมารยาท

Praise them honesly and openly
ยกย่องเพื่อนอย่างจริงใจ และเปิดเผย

Quietly desagree, noisy No's make enemies
อย่าโต้แย้งอย่างโจ่งแจ้ง........การทำเช่นนั้นก่อให้เกิดศัตรู

Really listen, a friendly ear is a soothing balm
ตั้งใจรับฟัง.......การรับฟังของเพื่อนคือยารักษาอาการ

Say you're sorry, don't let them assume it
กล่าวคำขอโทษ.......อย่าปล่อยให้เพื่อนต้องสันนิษฐานเอาเอง

Talk frequently, connunication is important
พูดคุยกันบ่อยๆ ........การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญ

Use good judgement
ใช้ข้อตัดสินที่ดี

Verbalsise your feelings
อธิบายความรู้สึกของคุณเป็นคำพูด

Wish them luck, hopeftlly good
อวยพรให้โชคดี ..........หวังว่าเขาจะพบแต่เรื่องดี

Xamine your motives before you "help" out
ตรวจสอบเจตนาของคุณ ก่อนที่จะขอความช่วยเหลือ

Your words count, use them wisely
คำพูดของคุณมีค่า ......จงใช้อย่างชาญฉลาด

Zip your lips when they told a secret
ปิดปากให้สนิทเมื่อเพื่อนบอกความลับ

สิ่งสำคัญสุดท้าย
--เพื่อน คือ ศัตรูที่รู้ใจ--

ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/11206.html

จิตวิทยา : ความฝัน

จิตวิทยา : ความฝัน

ความฝัน คือประสบการณ์ของภาพ เสียง ข้อความ ความคิด หรือความรู้สึกในขณะที่กำลังนอนหลับ โดยผู้ที่ฝันส่วนใหญ่ไม่สามารถควบคุมได้

ความฝันมักจะเต็มไปด้วยความคิดในด้านต่างๆ ซึ่งความฝันสามารถเกิดได้ตั้งแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสังคมจนถึงเรื่องเหลือเชื่อ รวมไปถึงเรื่องสนุกสนาน เรื่องตื่นเต้น เรื่องน่ากลัว เรื่องเศร้า ที่เรียกว่าฝันร้าย และในบางครั้งความฝันจะมีเหตุการณ์เกี่ยวกับเรื่องทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งมีผลต่อเนื่องอาจทำให้เกิดอาการฝันเปียกในผู้ชาย หลายๆครั้งที่ความฝันเป็นตัวกระตุ้นความรู้สึกทั้งทางด้านจิตใจและทางด้านศิลปะให้แก่ผู้ที่ฝัน

นักวิทยาศาสตร์ได้มีการศึกษาความฝันโดยอ้างอิงกับการเคลื่อนไหวของดวงตาขณะนอนหลับ (rapid eye movement, REM) การกระตุ้นของต่อมponsส่วนประกอบส่วนหนึ่งของก้านสมอง หรือการเปลี่ยนแปลงของการเต้นของหัวใจ

นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า คนทุกคนเฉลี่ยแล้วจะมีความฝันในปริมาณที่เท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าบางคนจะรู้สึกว่าไม่ได้ฝันหรือนานๆทีจะได้มีความฝัน นั่นเพราะสาเหตุที่ว่าความฝันของบุคคลนั้นจางหายไปเมื่อตื่นนอน ความฝันมักจะเลือนหายถ้าสถานะของการฝันของบุคคลนั้นค่อยๆเปลี่ยนจาก สถานะอาร์อีเอม เป็นสถานะเดลต้า และตื่นนอน ในทางกลับกันถ้าบุคคลนั้นตื่นขึ้นขณะที่อยู่สถานะอาร์อีเอม (เช่นตื่นโดยนาฬิกาปลุก) บุคคลนั้นมักจะจำเรื่องที่ฝันได้ อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกความฝันที่จะถูกจำได้


ความฝันในสิ่งมีชีวิตอื่น
การวิจัยค้นพบว่าสัตว์ได้มีความฝันเช่นเกียวกับมนุษย์ โดยเมื่อสัตว์หลับอยู่ในสถานะอาร์อีเอม สัตว์จะมีความฝันเกิดขึ้น (ถึงแม้ว่าจะไม่มีการระบุเป็นรูปธรรมว่าสัตว์ฝันถึงเรื่องใด) สัตว์ที่มีระยะของสถานะอาร์อีเอมนานที่สุดคือ อาร์มาดิลโลสัตว์ชนิดหนึ่งมีลักษณะคล้ายตัวตุ่น สัตว์ที่มีความฝันบ่อยสุดคือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและสัตว์ประเภทนก อาจเนื่องมาจากลักษณะรูปแบบในการนอน กบเป็นสัตว์ไม่มีการนอนหลับยกเว้นในช่วงเวลาจำศีล ได้มีการทดสอบความฝันของแมวว่า แมวมักจะฝันถึงการล่าเหยื่อโดยอ้างอิงจากลักษณะการเคลื่อนไหวของขาและร่างกาย ในขณะที่สุนัขได้มีการเคลื่อนไหวของช่วงขาในลักษณะของการวิ่งรวมถึงการเห่าในขณะที่นอนหลับ

ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=64&post_id=1275763&order_reply=0

อยากรู้ไปโม้ด : นินจา

อยากรู้ไปโม้ด : นินจา

สวัสดีครับน้าชาติ
อยากจะขอรบกวนน้าชาติให้ช่วยหาประวัติและข้อมูลเรื่องราวต่างๆ แบบเจาะลึกของสายลับมหาประลัยนินจา

ภราดร ไฝทอง
ตอบ ภราดร

นินจา หรือ ชิโนบิ (นินจาหญิงเรียก คุโนะ อิจิ) แปลว่า ผู้คงทน ได้ชื่อเป็น กลุ่มนักฆ่า หรือสปาย ในช่วงเปลี่ยน การปกครองของญี่ปุ่น คำว่านินจาสันนิษฐานว่าเริ่มใช้ประมาณ 800 ปีก่อน หมายถึงบุคคลที่อยู่ในภูเขาและฝึกฝนนินจุตสุ คือวิชาต่อสู้เกี่ยวกับการขโมยและการล่องหน โดยคำว่านินเดิมหมายถึงคงทน ก่อนเพิ่มเติมให้หมายถึง การซ่อนตัวและการขโมย จา หมายถึง บุคคล ส่วนภาษาจีนขานนามนินจาว่า หลินกุ้ย คือ ปีศาจในป่า


นินจาถูกเปรียบเทียบกับซามูไรว่า ขณะที่ซามูไรคือนักสู้ที่ต่อสู้เบื้องหน้า นินจาเป็นนักสู้ที่ต่อสู้ลับหลัง อย่างไรก็ตาม ก่อนจะมีภาพเป็นนักฆ่าซัดอาวุธดาวกระจายอย่างในภาพยนตร์ เชื่อกันว่านินจาเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ฝึกฝนในกลุ่มนักบวช เผยแพร่จากจีนมาญี่ปุ่นราว ค.ศ.522 โดยเบื้องแรกกลุ่มนักบวชไม่ใช้วิชาเพื่อความรุนแรง กระทั่ง ค.ศ.645 จึงนำวิชาการต่อสู้มาใช้ หลังจากถูกกดขี่บีบคั้นจากรัฐบาลกลางให้ปกป้องตนเอง ในสมัยเฮอันที่เกิดการต่อสู้ชิงอำนาจกันระหว่างตระกูลเพื่อโค่นล้มราชสำนัก ตระกูลใหญ่ๆ ต้องการนักฆ่ามืออาชีพที่ทำงานหาข่าวและลอบสังหารฝ่ายตรงข้าม ทำให้คนที่ฝึกวิชาการต่อสู้เป็นที่ต้องการสูงมาก นินจาผงาดตั้งแต่บัดนั้น


ว่ากันว่าการสืบเสาะค้นหาประวัติศาสตร์ของนินจาเป็นเรื่องไม่ง่าย เพราะ "ผู้คงทนจอมซ่อนตัว" ไม่เคยทิ้งร่องรอยไว้ และไม่คุยโวถึงผลงาน ทำให้งานหรือชีวประวัติของนินจาถูกเก็บเป็นความลับ ยากหาข้อเท็จจริง มีเพียงเรื่องในตำนานต่างๆ ที่เล่าไว้หลากหลาย ที่โด่งดังที่สุดคือเรื่องพระชาวจีนรูปหนึ่งเป็นผู้ฝึกวิชาให้มินาโมโตะ โนะ โยชิซึเนะ


โทงะคุเระ ริว กล่าวถึงนินจาในช่วงปลายยุคเฮอันว่า แบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายหลัก คือ อิงะ และโคงะ ต่อสู้กัน ต่อมาในช่วงยุคเซนโงกุ (หรือที่รู้จักกันว่าเป็นยุคสงคราม) ไดเมียวที่มีชื่อเสียงทุกคนมีนินจาอยู่ภายใต้การปกครองสำหรับการเป็นสปายแอบสืบข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม และไดเมียวบางคนก็ถูกกล่าวว่าเป็นนินจาเอง ยุคเดียวกันมีเรื่องราวกล่าวถึงผลงานฮัตโตริ ฮันโซ หัวหน้ากลุ่มนินจาฝ่ายอิงะ นำทางโทกุงาวะ อิเอยาสุ หลบหนีจากช่องเขานาระภายหลังลอบโจมตีทัพของโอดะ โนบุนางะ และที่สุดอิเอยาสุก็ได้ชัยในสงคราม ขึ้นตั้งตัวเป็นโชกุน


ทั้งยังมีเรื่อง ซานาดะ ยูคิมูระ หัวหน้ากลุ่มซานาดะ ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มนินจา หลังจากเขานำกลุ่มทหารเพียง 3,000 นายปกป้องปราสาท โดยสู้กับกองทัพ 50,000 ของโทกุงาวะ ฮิเดทาดะ


200 ปีหลังช่วงเวลาของตระกูลโทกุงาวะ ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดเกิด ขึ้น ทำให้ไม่มีการสืบต่อวิชานินจา เป็นแต่เพียงการสืบต่อแบบปากต่อปากระหว่างคนสนิทเท่านั้น จนยุคเอโดะนินจากลับมาเป็นที่นิยม แต่ไม่ใช่ในความเป็นจริง หากบันทึกอยู่ในหนังสือและการแสดงต่างๆ ที่สรรเอาวิชานินจามาโชว์ ทั้งการล่องหน กระโดดสูง ท่องมนต์ และเรียกกบยักษ์มาช่วยสู้ สารพัดสารพันถูกสร้างขึ้นในยุคนี้เพื่อความบันเทิง


อาวุธของนินจาเป็นอาวุธที่ซ่อนไว้ หลักๆ มี โบะ คือกระบอง นินจาเคน คือดาบนินจาซึ่งเล็กกว่าคะตานะของซามูไร และชูริเคน คือคมมีดปล่อยจากมือ หรือเรียกดาวกระจาย เป็นอาวุธสำหรับขว้าง มีตั้งแต่ชนิด 4 แฉกถึง 8 แฉก คมกริบ ชูริเคนไม่ได้ถูกสร้างเพื่อใช้เป็นอาวุธโจมตี แต่เป็นเครื่องมือเบี่ยงเบนความสนใจของคู่ต่อสู้

ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=64&post_id=1277221&order_reply=0

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ถ้าท่าน...

ถ้าท่าน...

ถ้าเคยอ่านแล้วก็ขอโทษด้วยนะ

...ถ้าท่านทำตัวแข่งกับสังคม ทางแห่งความล่มจมกำลังตามมา

...ถ้าท่านทำงานเห็นแก่หน้า ท่านจะพบกับปัญหาเรื่อยไป

...ถ้าท่านทำตัวเห็นแก่ได้ ท่านอย่าหวังน้ำใจจากเพื่อนฝูง

...ถ้าท่านกลัวจนเกินไป ท่านจะทำอะไรไม่ได้ความ

...ถ้าท่านกล้าจนเกินงาม ท่านจะพบกับความเดือดร้อน

...ถ้าท่านขาดความพอดี ท่านจะเป็นหนี้เขาตลอดกาล

...ถ้าท่านหวังแต่ความสนุก ท่านจะเป็นทุกข์มหาศาล

...ถ้าท่านขาดความยั้งคิด ชีวิตทั้งชีวิตจะหมดความหมาย.

..ถ้าท่านทำใจให้สงบ ท่านจะพบกับความสุขที่เยือกเย็น

ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=122&post_id=1272893&order_reply=0

ข้อคิดดี ดี แบบ ฮา ๆ กับ ตึง ตึ่ง ตึ้ง ตึ๊ง ตึ๋ง

ข้อคิดดี ดี แบบ ฮา ๆ กับ ตึง ตึ่ง ตึ้ง ตึ๊ง ตึ๋ง

- เวลารถติด เลนอื่นมักไปได้เร็วกว่าเลนเราเสมอ
- ถ้าเราขับรถไม่ทันไฟเขียวเป็นคันสุดท้าย
ให้คิดว่าเดี๋ยวเราจะได้ไปเป็นคันแรก
- ถ้ามีการแนะนำตัวว่า 'นี่เพื่อนฉัน' หมายความว่า 'แฟนฉัน'
- ถ้ามีการแนะนำตัวว่า 'นี่แฟนฉัน' หมายความว่า 'ผัว/เมียฉัน'

* มนุษย์ต้องการสิ่งที่ตนเองไม่มี
* แฟนของคนอื่นมักจะสวยกว่าแฟนของตัวเอง
* เวลาที่เราวิ่งมารับโทรศัพท์จากที่ไกลๆ เมื่อถึงโทรศัพท์
เสียงมันมักจะหยุด เราจะช้าไป 1 จังหวะเสมอ
* ถ้าแอบรักใครอย่าฝากใครไปบอก บอกด้วยตัวเองจะดีกว่า
* เวลาสั่งอาหารไว้นานแล้วยังไม่ได้สักทีให้พูดว่าไม่เอาจะ
ได้เร็ว

* ถ้าเรียกเก็บเงินแล้วไม่มีใครมาเก็บเสียที ให้ลุกขึ้นทำท่า
จะกลับทั้งโต๊ะ จะมีพนักงานพุ่งมาทันที
* ปลูกต้นลั่นทมไว้หน้าบ้านไม่เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ระทมของตัวเราเลย
* ระวังคนขายโรตี ที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าละเมาะ, พุ่งไม้,
ซอกตึก,อย่าตัดสินใจซื้อจนกว่าเขาจะล้างมือ
* ไม่มีสัจจะในร้านตัดเสื้อ
* ระวังคน ที่แสดงออกว่าเป็นคนดีมากๆ

* อย่าซื้อทุเรียนมาปอกเอง
* หนังสือดีคือหนังสือที่เราชอบอ่าน, หนังดีคือหนังที่เราชอบดู
* อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เรานินทามากๆ อย่าลืมย้ำบ่อยๆ
ว่าอย่าบอกใครนะ
* อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว
คนล้างจะเสียความรู้สึก
* เรียกยามว่าซีเคียวรีตี้ การ์ด ยามจะตั้งใจโบกรถ

* อย่าซื้ออะไรที่ต้องเอามาซ่อมต่อ
* รถในเมืองไทยพวงมาลัยอยู่ทางขวา
แต่ฝาน้ำมันไม่อยู่ขวาเสมอไป
* ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนไม่ต้องเอายาสีฟันไปก็ได้
ยังไงเพื่อนต้องมี
* อย่าเข้าใกล้หมาตอนกินข้าว
* ตลาด อตก. มาจากคำว่า เอเวอรี่ติง เกินราคา

* เวลาดูหนังโรง ควรจำว่ากระปุกน้ำอยู่ด้านไหน
* ตัดผมวันพุธได้ ไม่บาป
* คนไม่กินเนื้อไม่ได้แปลว่าเป็นดีเสมอไป
* เวลาบ้วนน้ำยาลิสเตอรีน ออกจากปากให้หลับตาด้วย
* ปูอัด มันทำจากปลา

* กระเพาะปลามันทำมาจากหนังหมู
* กินก๋วยเตี๋ยวจากตะเกียบไม้อร่อยกว่า
* อย่าไปจ่ายตลาดเวลาหิว เราจะซื้อมาเยอะเกินจำเป็นเสมอ
* ในโลกนี้จะชอบมีคนมาทักอยู่ 2 ประเภทเท่านั้น ประเภทแรก
อ้วนขึ้นนะ กับประเภทที่ 2ผอมลงนะ ไม่มีใครเข้ามาทักว่า
ปกติดีนี่ไปทำอะไรมา
* คนที่เอาหมวกตำรวจหรือชุดตำรวจแขวนไว้หลังรถมิใช่เพราะ
บ้านเขาไม่มีตู้ เขาไม่ได้ลืม เค้าแค่กลัวคนไม่รู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร

* คนที่มีรถทะเบียนเลขเดียวเรียงติดกันหลายๆตัว
เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา
* คนที่มีความรู้มากๆ เขามักจะใช้ความรู้ขังจินตนาการ
* ฟู่ฟ่าเดี๋ยวก็วาย เรียบง่ายอยู่ได้นาน
* จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา
* เวลาที่เปิดหนังสือให้เพื่อนดูหน้าที่ตัวเองพูดถึง
มักจะหาไม่เจอ

* ขนมและน้ำในโรงหนัง จะแพงกว่าข้างนอก
* ห้องน้ำผู้หญิง ผู้ชายเข้าไปดูเป็นพวกโรคจิต,
ห้องน้ำผู้ชายผู้หญิงเข้ามาดูเป็นแม่บ้าน
อ่านดูน๊า
ไปเจอมาเลยไปก๊อบมาหั๊ยอ่าน^^

ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=122&post_id=1276264&order_reply=0

สร้าง ‘สมาธิ’ จากนิสัย

สร้าง ‘สมาธิ’ จากนิสัย

สมาธิเป็นพื้นฐานสำคัญของการทำกิจกรรมต่างๆ เราจึงมีเกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับการสร้างสมาธิพื้นฐานจากชีวิตประจำวันมาฝาก ซึ่งวัยเรียนและวัยทำงานสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ เพื่อช่วยควบคุมความสนใจ การรับรู้ ให้จดจ่อต่อสิ่งที่กระทำอยู่อย่างต่อเนื่องจนติดเป็นนิสัย

สร้างความเต็มใจและจริงใจที่จะทำเรื่องนั้นๆ จะช่วยให้เราสนใจในสิ่งเดียว ไม่วอกแวกสนใจเรื่องอื่น

สร้างนิสัย ‘ มุ่งมั่นลงมือทำทันที’ จะฝึกให้เราเป็นคนมีคุณลักษณะที่ดี คือ การควบคุมความสนใจ จดจ่อต่อสิ่งที่กระทำอยู่อย่างต่อเนื่องจนสำเร็จ ซึ่งอีกด้านหนึ่ง การยืดเวลาหรือผัดวันประกันพรุ่ง จะทำให้เบื่อหน่ายกับงานเดิมๆ จนกลายเป็นความเกียจคร้าน ซึ่งเป็นอุปสรรคของการเรียนและการทำงานด้วย

จัดลำดับเรื่องที่จะทำ จะช่วยให้การทำสิ่งนั้นๆ เป็นระบบ และใช้เวลาน้อย ตรงกันข้ามกับการสนใจหลายเรื่องในเวลาเดียวกันจะทำให้ไม่มีสมาธิ

รู้จักแบ่งเวลาพักผ่อน เพื่อผ่อนคลายสมอง และรักษาสภาพจิตใจให้คลายความกังวลในงานนั้นๆ เพราะถ้าเราคร่ำเครงกับสิ่งต่างๆ มากเกินไป จะเป็นอุปสรรคต่อสมาธิ

การหมั่นสร้างนิสัยในชีวิตประจำวันให้มีสมาธินั้น นอกจากจะทำให้จิตใจสงบ มีสติในการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยเตรียมความพร้อม เพื่อการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในทุกๆวันด้วย.

ขอบคุณ ที่มาจาก นสพ.เดลินิวส์

ทีมา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=122&post_id=1277406&order_reply=0

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สิ่งที่เดินทางมายังไม่ถึง...เรา

สิ่งที่เดินทางมายังไม่ถึง...เรา

ใครหลายคนชอบคิดไปไกลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง... สิ่งที่ยังไม่เกิด
ความคิดนี่แหละ ที่บั่นทอนพละกำลังส่วนหนึ่งของความสุข
ที่ควรจะเกิด ควรจะมี ให้ลดน้อยลงไป
บางขณะ เราน่าจะทำชีวิตให้ดีกว่านั้นได้ง่ายๆ
แต่เพราะความคิด ความกังวล ทำให้สิ่งที่น่าจะง่าย กลายเป็นสิ่งยุ่งยาก

ถ้าความคิดบางอย่าง ยิ่งคิด ยิ่งเศร้า
ยิ่งทำให้กังวล ยิ่งไม่มีความสุข
ยิ่งหวาดกลัววันข้างหน้า ก็อย่าไปคิดมันเลย

แค่ทำวันนี้ให้มีความสุข
ทำให้ดีที่สุดกับเวลานี้ที่มีโอกาสนี้...
บางทีใครจะรู้ว่าอะไรๆ ที่ไปกังวลนั้น อาจจะมาไม่ถึงก็ได้...

ชีวิตอาจไม่ยาวนานถึงขนาดนั้น
ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้ จะตื่นหรือเปล่า
อย่ากังวลกับอะไรที่ยังมาไม่ถึง...
มองวันนี้ ทำวันนี้ มีความสุขกับทุกวินาทีนี้..... ที่ยังหายใจอยู่ดีกว่า

เวลามีพอเสมอสำหรับความสุข
ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์
ชีวิตที่พบความทุกข์ เป็นชีวิตที่แท้...
ไม่มีความทุกข์ก็ไม่มีการเติบโต
ความทุกข์เป็นพลังขับเคลื่อนให้หลายอย่างเกิด
ไม่มีใครไม่มีความทุกข์ เพราะนั่นคือการเป็นชีวิต
ความทุกข์สอนให้แต่ละคนเข้มแข็งในแง่มุมต่างๆ
ถ้าความทุกข์ไม่เข้ามาหา ก็จะไม่รู้ว่าความสุขที่แท้เป็นอย่างไร

ไม่มีความทุกข์ ก็ไม่รู้จักความสุข......
เพราะความทุกข์พิสูจน์ความเป็นคนอ่อนแอ หรือเข้มแข็ง
ความทุกข์เป็นสิ่งท้าทายความสามารถ.....
ต่างจากความสุข ที่ทำให้อ่อนแอ มองโลกง่ายๆ แคบๆ
ความสุขเหมือนฝนพรำสาย อ่อนโยน งดงาม บางเบา แต่ว่างเปล่า
ไม่มีการเรียนรู้ใดในความสุข.......
เมื่อใดที่มีความทุกข์ ควรยิ้มรับและคิดว่าโชคดีที่ได้เจอความทุกข์
ได้เรียนรู้การแก้ปัญหา ได้สงบ ได้สติ ได้ความนิ่ง
ได้รู้จักโลก รู้จักตัวเองรู้จักการเติบโตทุกๆ ก้าว
ให้กำลังใจตัวเองมากๆ บอกตัวเองว่าโชคดีที่วันนี้มีความทุกข์
เพราะเมื่อผ่านความทุกข์ ความสุขก็จะรออยู่เบื้องหน้า...
จงใช้ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้กับชีวิต

มีคนมากมายที่กังวลกับอนาคต
แต่เขายังไม่เคยมองปัจจุบันเลยว่าทำอะไรอยู่
...และเมื่อตัวคนเดียวกำลังใจจากตัวเองนี่แหละ ที่จะทำให้เรามีแรงเดินต่อไป
เป็นเรื่องยากที่จะทำได้ แต่ถ้าทำได้คุณจะพบความสุขแบบที่ไม่ต้องพึ่งพาใครเลย...

ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1171300

เมื่อมีน้ำตา...ไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอ

เมื่อมีน้ำตา...ไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอ

คนเรา... อย่าพยายามกักเก็บน้ำตา

ถ้ารู้ว่ามันเกินจะกั้นไว้ได้

ไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่เคยร้องไห้

แม้กระทั้ง วันแรกที่ลืมตาดูโลก

ก็ต่างร้องไห้ด้วยกันทั้งนั้น...

เมื่อมีน้ำตา

นั่นไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอ

แต่บางทีอะไรที่มันมากเกินไป เกินกว่าที่จะรับไว้

ก็จำเป็นที่ต้องระบายออกมาบ้าง

ดีใจมาก... เสียใจมาก... ตื้นตันมาก

ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เราเสียน้ำตาได้ทั้งนั้น

เพียงแต่อย่าฝืนตัวเอง ต้องยอมรับความรู้สึกของตัวเอง

อย่าปิดกั้นความอ่อนแอ... ของตัวเอง

ถ้าอยากร้องไห้ ก็ร้องซะให้หายอึดอัด

ร้องให้ไม่เหลือน้ำตาให้ไหล ร้องให้สบายใจ

เพียงแต่อย่าฝืนตัวเอง ต้องยอมรับความรู้สึกของตัวเอง

ร้องไห้... ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย

เรากล้าที่จะร้องไห้ คือ คนที่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง

ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองกำลังเป็น...

เพราะคนที่เสียใจแล้วไม่ร้องไห้ ไม่ระบายออกมา

นานๆ ไปอาจจะทำให้มีความเศร้าอยู่ลึกๆ

อึดอัดอยู่ข้างใน หรือบางคนอาจจะเป็นคนเก็บกดไปเลยก็เป็นได้

แล้วเลือกที่จะระบายออกมาเลยไม่ดีกว่าหรือ

อย่าพยายามอดกลั้นที่จะร้องไห้

ปล่อยให้น้ำตามันไหลออก จนกว่าจะสบายใจ

และ... เมื่อน้ำตาเหือดแห้งไป

เราจะได้ความเข้มแข็งกลับมาให้ตัวเรา...

และสามารถลุกขึ้นสู้ต่อไปได้...

เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ

และเมื่อท้อแ้ท้ก็อย่าท้อถอยนะคะ

ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1171381

ขยะความคิด – ขยะอารมณ์

ขยะความคิด – ขยะอารมณ์



สิ่งที่ไม่ดี... ไม่สวยงาม...
ที่เราใช้แล้ว...ชำรุด ... ทรุดโทรม... ใช้การไม่ได้อีกต่อไป...
เรียกว่า... "ขยะ"

ถ้าพูดถึงขยะ
หลายคนคงเข้าใจดีแล้วว่า...
ในขยะที่เหลือใช้แล้ว... ที่คนส่วนใหญ่นำไปทิ้ง
เพราะเห็นว่า "ไม่มีคุณค่า – ไม่มีประโยชน์"

แต่ในสิ่งที่เรามองเห็นว่า...
ไม่มีคุณค่า - ไม่มีประโยชน์ สำหรับเรา
อาจมีคุณค่า... สำหรับผู้เก็บของเก่า...
ซึ่งสามารถแปรเปลี่ยนเป็นเงินได้...


แต่สำหรับขยะทางความคิด...
และขยะทางอารมณ์นั้น
…หามีประโยชน์แต่อย่างใดไม่
ยิ่งกลับจะเป็นอันตราย... ทั้งต่อตนเองและคนรอบข้างด้วย

เพราะผู้ที่ชอบเก็บสะสมขยะทางความคิด... ขยะทางอารมณ์
เมื่อเก็บสะสมไว้มากๆ
ก็จะทำให้เกิดมะเร็งร้ายในจิตใจ – ในอารมณ์ความรู้สึกได้

เราจึงไม่ควรที่จะเก็บหรือรักษาสิ่งเหล่านั้นไว้ในจิตใจเลย
…แต่สมควรอย่างยิ่ง
…ที่จะหมั่นตรวจ หมั่นเก็บกวาด
นำขยะทางความคิด - ขยะทางอารมณ์... ออกไปทิ้งเสียโดยพลัน

เพราะขยะทางความคิด
ได้แก่... ความคิดที่ไม่ดี... ไม่ถูกต้อง... ไม่ดีงาม
ผิดจากทำนองคลองธรรม... เป็นมิจฉาทิฎฐิ (เห็นผิด)
คิดในแง่ร้าย... ชอบมองแง่ลบ
มีความคิดเห็นเชิงลบ... ไม่สร้างสรรค์
คิดสิ่งที่ไม่ก่อประโยชน์... ให้โทษแก่ตนเองและผู้อื่น

สิ่งเหล่านี้ถือว่า...
เป็นขยะทางความคิด..
ซึ่งถ้าสะสมไว้มากๆ
ก็จะก่อตัวเป็นมะเร็งร้ายทางความคิดได้
และจะทำให้จิตใจขุ่นมัว... มืดมน
ทำลายสติปัญญา... เกิดความโง่เขลาทางจิตใจ

ส่วนขยะทางอารมณ์...
ได้แก่... อารมณ์โลภ โกรธ หลง อิจฉา - ริษยา
อารมณ์เบื่อ... อารมณ์เซ็ง...
อารมณ์เหงา... อารมณ์เศร้า... และอื่นๆ อีกมากมาย
ถือว่า... เป็นขยะทางอารมณ์

ถ้าใครมีมาก สะสมไว้มาก ไม่ยอมสละออก
ก็จะทำให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ตามมา
ที่เราเรียกว่า... "มะเร็งร้ายทางอารมณ์"
ที่จะค่อยๆ กัดกร่อนทำร้ายจิตใจของเราทุกๆ ขณะ
ที่อารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในจิตใจเรา

คนเรามีขยะทางความคิด – ทางอารมณ์เหมือนกันทุกคน
แต่แตกต่างกันที่ว่า...
เมื่อขยะทางความคิด – ขยะทางอารมณ์เกิดขึ้น
เราจะมีวิธีการนำขยะเหล่านั้นออกจากจิตใจได้อย่างไร ???

การเรียนรู้ที่จะนำขยะทางความคิด - ทางอารมณ์ออกจากจิตใจ
สามารถทำได้ง่ายๆ ก็คือ...
...ไม่ยอมเก็บ...
...ไม่ยอมสะสม...

ดังนั้น ทุกครั้งที่ขยะทางความคิด – ขยะทางอารมณ์เกิดขึ้น
เราต้องรีบปฏิเสธโต้กลับมันทันที
คือ... ไม่ยอมรับ ไม่สะสม ไม่เก็บ
และรู้เท่าทันมันอย่างเข้าใจ
ก็จะสามารถสละมันออกจากจิตใจได้

ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/30057