วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Happy Newyear 2009

Happy Newyear 2009

เมื่อวานเป็นวันปีใหม่ที่ โรงเรียนจัดขึ้น สนุกมากเลย

ตอนเช้าก็มีการทำบุญตักบาตร จากนั้นก็มีการจับของขวัญ แล้วก้อเป็นกิจกรรมภายในห้องเรียน

กิจกรรมที่ห้องจัดขึ้นก็มีการเฉลย Buddy ^๐^

ลุ้นมากมาย Buddy ของเราก็คือ โมนั่นเอง เราเองก็เชื่อโมว่า โมไม่ใช่ Buddy เรา โดนหลอกซะงั้น

แต่ก็ดีแล้วแหละ จะได้ตื่นเต้นน !!!

นอกจากนั้นวันนั้นยังมีเรื่องตื่นเต้นยิ่งกว่า นั่นก็คือ เราทำกล้องหาย

ตอนนี้ มึนไปหมดเลย กลัวแม่ว่าด้วย ที่สำคัญ

แต่โชคดีที่มีคนเจอแล้ว เก็บไว้ให้ เพื่อนที่เจออยู่ ม.4/10

ถ้าไม่เจอ ก็คงเสียดายรูปในนั้นมากเลย

ก็เอาเป็นว่า ครั้งหน้าจะรักษาของให้มากกว่าเดิมแล้วกัน

กล้องไม่หายก็เลยอยากจะแบ่งปันความสุขในวันปีใหม่ที่โรงเรียนให้ทุกคน ได้ดูนะคะ


ทำบุญตอนเช้า


Santa









วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ประวัติ-ความเป็นมาของ "วันคริสต์มาส"

ประวัติ-ความเป็นมาของ "วันคริสต์มาส"

(Christmas หรือ X'Mas) คือเทศกาลเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ ซึ่งตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม พระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน

เป็นคำทับศัพท์ภาษา อังกฤษ Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" คำว่า" Christes Maesse" พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส : ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่ง ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวัน หรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่ง ส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

คำอวยพรสำหรับเทศกาลคริสมาสใช้ คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรีย แห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย

นักบุญ(เซนต์)นิโคลัสแห่งเมืองไมรา นักบุญองค์นี้เป็นสังฆราช ของ ไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่4 ได้รับการยกย่องให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ซานตาครอสจริงๆแล้ว แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย

นักบุญนิโคลาส เป็นนักบุญ ที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะ มาเยี่ยม เด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ก็อยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้างเพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายไปในอเมริกา โดย มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลาสก็เปลี่ยน เป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็น สังฆราชซึ่งเป็นนักบุญองค์นั้นก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนใส่ชุดสีแดงอาศัย อยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อน เป็นยานพาหนะมีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมา ทางปล่องไฟของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้ เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติ ของเขา

ต้นคริสต์มาสหรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน การตกแต่งนี้ย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก

เมื่อพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส)ในปี นั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบล เบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระ เยซูเจ้าประสูติ พอไปถึงก็เป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเสร็จแล้วก็กลับมาที่พักเป็นเวลาเช้ามืดราวๆ ตี 3 พระองค์ก็ถวาย มิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ก็ยังมีสัตบุรุษหลายคนที่ไม่ได้ไป พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระ สันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ใน โอกาสวันคริสต์มาส

ในสมัยก่อนมีกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมัน ได้เอากิ่งไม้มาประกอบ เป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของ เทศกาลเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะมารวมกัน ดับไฟ แล้วจุดเทียนเล่มหนึ่ง สวด ภาวนาและร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน เขาจะทำดังนี้ทุก อาทิตย์จนครบ 4 อาทิตย์ก่อน คริสต์มาส ประเพณีนี้เป็นที่นิยม และแพร่หลายในที่หลายแห่ง โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกาซึ่งต่อมา มีการเพิ่ม โดยเอาพวงมาลัยพร้อมกับเทียนที่จุดไว้ตรง กลาง 1 เล่มไป แขวนไว้ที่หน้าต่างเพื่อช่วย ให้คนที่ ผ่าน ไปมา ได้ระลึกถึงการเตรียมตัวรับวันคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา และพวงมาลัยนั้นยังเป็น สัญลักษณ์ที่คน สมัยโบราณใช้หมายถึงชัยชนะ แต่ในที่นี้หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และ ทำให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างครบ บริบูรณ์ตามแผนการณ์ ของพระเป็นเจ้า

เพลงคริสต์มาส เริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งผู้แต่งมีทั้งพระสงฆ์และฆราวาส เนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมา ของพระเยซูเจ้า แต่ใน ศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบ คือมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี ในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาส ที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จาก ประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อ โจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้อง ไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลง คริสต์มาสใหม่ นำไปเพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนอง ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก

โอ้โห!!! วันคริสต์มาสเนี่ย!!! น่าสนุกจริงๆเลยนะเจ้าค่ะ ที่สำคัญ วันเนี่ย...เพื่อนๆหลายๆคนอาจจะได้ของขวัญจากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ จากคนรัก จากพ่อ แม่ และจากใครหลายๆคนอีกด้วย....ก็ขอให้ Happy Happy ทุกคนนะเจ้าค่ะ...

ที่มา : เวบไซด์ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เด็กอายุต่ำกว่า 7 ขวบไม่ควรกลืนกินยาสีฟัน

เด็กอายุต่ำกว่า 7 ขวบไม่ควรกลืนกินยาสีฟัน

ที่หลายคนสงสัยคำเตือนว่า “เด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี ไม่ควรกินหรือกลืน” นั้น อย่างที่บอกในยาสีฟันมีส่วนผสมของฟลูออไรด์ การกลืนกินบ่อย ๆ อาจทำให้เด็กได้รับฟลูออไรด์มากจนเกินไป จนทำให้ฟันตกกระได้ ในขณะที่ฟันแท้กำลังสร้างตัว นอกจากนี้ในยาสีฟันยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น สารกันบูด สารขัดฟัน สารช่วยให้เกิดฟอง สารยึดเกาะ สารปรุงรสและกลิ่น สารคงความชื้น สารแต่งสี อาจทำให้เกิดอันตราย หรือแพ้ยาสีฟันได้ ดังนั้นจึงไม่ควรกลืนกินเข้าไป หลังแปรงฟันควรจะบ้วนออกให้หมด

แม้ว่ายาสีฟันส่วนใหญ่จะผ่านการสอบแล้วว่ามีความปลอดภัย แต่สิ่งที่ยังเป็นกังวล คือ ยาสีฟันมีกลิ่นหอม รสหวานอร่อย เด็กบางคนอาจกลืนกินเข้าไป เพราะฉะนั้นในเด็กอายุไม่ถึง 2 ขวบ ในการแปรงฟันจะใช้ยาสีฟันเพียงนิดเดียว แค่แตะแปรงสีฟัน หรือเด็กโตกว่านั้น 3 ขวบ อาจใช้ยาสีฟันแค่เม็ดถั่วเขียว

โดยหลักเด็กอายุต่ำกว่า 7 ขวบ พ่อแม่ต้องเป็นคนบีบยาสีฟันให้ และต้องเป็นคนแปรงฟันให้ ส่วนเด็กอายุ 7-11 ขวบ พ่อแม่ควรดูแลอย่างใกล้ชิด ว่าแปรงฟันสะอาด ทั่วถึงหรือไม่

ถ้าเด็กใช้ยาสีฟันสำหรับผู้ใหญ่จะเกิดผลเสียอย่างไร? รองศาสตราจารย์ทันตแพทย์หญิงวัชราภรณ์ กล่าวว่า โดยหลักไม่ควรใช้ เว้นแต่อายุ 6 ขวบขึ้นไป เพราะจะเกิดผลเสียอย่างที่บอก คือ การกลืนกินยาสีฟัน ทำให้ได้รับปริมาณ ฟลูออไรด์มากจนเกินไป เพราะในชีวิตประจำวันเด็กอาจได้รับฟลูออไรด์จากทางอื่นด้วย เช่น การรับประทานอาหาร ยาเม็ดฟลูออไรด์

จะแก้ปัญหาเด็กที่กลืนกินยาสีฟันอย่างไร? รองศาสตราจารย์ทันตแพทย์หญิงวัชราภรณ์ กล่าวว่า อาจจะใช้ยาสีฟันสำหรับเด็กที่ไม่มีฟลูออไรด์เป็นส่วนผสม หรือไม่ใช้ยาสีฟันเลยก็ได้ เพราะการแปรงฟันธรรมดาด้วยน้ำเปล่าอย่างถูกวิธีหลังอาหารอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ก็สามารถทำความสะอาดซอกฟันและเหงือกให้สะอาด ป้อง กันฟันผุได้ ส่วนการใช้ยาสีฟันก็เพื่อช่วยให้การแปรงฟันสะดวก รสชาติดีขึ้นเท่านั้น จะเห็นได้ว่า ผู้ใหญ่บางคนยังแปรงฟันโดยใช้เกลืออยู่เลย

อันตรายจากยาสีฟันมีหรือไม่? รองศาสตราจารย์ทันตแพทย์หญิงวัชราภรณ์ กล่าวว่า ในบางคนอาจเกิดการแพ้ได้ เช่น ทำให้ปากแห้ง เป็นแผล ก็ต้องเปลี่ยนยาสีฟันไปใช้ยี่ห้ออื่น ส่วนใหญ่จะดีขึ้น.

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ที่มา: http://variety.teenee.com/foodforbrain/12618.html

วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ข้อสอบ online ชุดที่ 25

ข้อสอบ online ชุดที่ 25 20 ข้อ

1. การรวมเอาภาษาเครื่องและสัญลักษณ์ไว้ด้วยกันเราเรียกว่า
ก. Machine Language
ข. Symbolic Language
ค. Low - Level Language
ง. High - Level Language
เฉลย ข้อ ค. Low - Level Language
ภาษาระดับต่ำ (Low level language) การใช้ภาษามนุษย์เขียนชุดคำสั่งนี้มีข้อดีคือ ทำได้ง่าย มีความผิดพลาดน้อย แก้ไขตอนหนึ่งตอนใดได้ง่าย เขียนได้สั้น เพราะบางทีคำสั่งเพียงคำสั่งเดียวก็มีผลเท่ากับหลายคำสั่งในภาษาเครื่อง แต่ภาษาเครื่องก็มีส่วนดีตรงที่สามารถใช้เวลาของเครื่องน้อยกว่าเพราะไม่เสียเวลาในการแปลดู computer language ประกอบดู machine language เปรียบเทียบ
URL: http://www.siamdic.com/search.php?word=low%20level%20language&type=2

2. ในยุคแรก ๆ เราใช้ภาษาอะไรในการเขียนโปรแกรมอย่างง่ายที่สุด
ก. FORTRAN
ข. RPG
ค. Basic
ง. Prolog
เฉลย ข้อ ค. Basic
ภาษาเบสิก (BASIC programming language) เป็นภาษาโปรแกรมที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย และยังได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้ เบสิกออกแบบมาให้ใช้กับคอมพิวเตอร์ตามบ้าน
URL: http://seymour.exteen.com/20070304/entry-1

3. ระบบ Token Ring ให้ความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลเท่าไร
ก. 2 Mbps/วินาที
ข. 4 Mbps/วินาที
ค. 16 Mbps/วินาที
ง. 10 Mbps/วินาที

เฉลย ข้อ ค. 16 Mbps/วินาที
เครือข่ายแบบ token ring เป็นระบบเครือข่ายแบบ LAN ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อด้วย topology แบบ หรือ star และระบบเลขฐานสอง (หรือ token) เป็นแบบแผนการส่งที่ใช้ในการป้องกันการชนกันของข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง ที่ต้องการส่ง message ในเวลาเดียวกัน โปรโตคอลของ token ring ได้รับการใช้เป็นอันดับที่สองในระบบ LAN รองจาก Ethernet โปรโตคอล โดย IBM token ring ได้นำไปสู่มาตรฐานของ IEEE 802.5 ซึ่งโปรโตคอลทั้งสองได้รับการใช้และคล้ายกันมาก การส่งข้อมูลของเทคโนโลยี IEEE 802.5 token ring ให้อัตราการส่งข้อมูล 4 -16 Mbps

URL: http://www.widebase.net/knowledge/itterm/it_term_desc.php?term_id=tokenring

4. ข้อใดหมายถึงรหัสภายนอกเครื่อง
ก. External ID
ข. External Chip
ค. External Code
ง. External Btye

เฉลย ข้อ ค. External Code
รหัสแทนข้อมูล
รหัสแทนข้อมูลจะมี 2 ลักษณะ คือ
1. รหัสภายนอกเครื่องคอมพิวเตอร์ (External Code) เป็นรหัสที่ใช้อยู่ภายนอกเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น รหัสที่ใช้ในบัตร

URL: http://www.nrru.ac.th/learning/science/sc_007/03/unit3/data2.html

5. ข้อใดไม่ใช่โครงสร้างข้อมูล
ก. Data file
ข. Data Rrcord
ค. Data Processing
ง. Data Item

เฉลย ข้อ ค. Data Processing

โครงสร้างของข้อมูล
1. Bit (Binary digit)
2. อักขระ (characters)
3. เขตข้อมูล (Fields) / Attribute
4. ระเบียนข้อมูล (Records) / tuple
5. แฟ้มข้อมูล (Files) / Entity
6. ฐานข้อมูล (Database)
URL: http://www.nrru.ac.th/learning/science/sc_007/03/unit3/data2.html

6. ข้อใดไม่ใช้ความหมายของคำว่า "ข้อมูล"
ก. คน
ข. สัตว์
ค. สถิติ
ง. สิ่งของ
เฉลย ข้อ ค. สถิติ
ข้อมูลหมายถึงข้อเท็จจริงที่เป็นตัวเลขหรือไม่เป็นตัวเลขก็ได้ ที่เราสนสนใจจะศึกษา
ข้อมูลสถิติ หมายถึงข้อมูลที่เป็นตัวเลขหรือไม่เป็นตัวเลขเช่นเดียวกับ ข้อมูล แต่ข้อมูลสถิติจะมีจำนวนมากกว่า และสามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้
URL: http://www.rayongwit.ac.th/data_math/means.htm


7. วิธีการทางคอมพิวเตอร์มีกี่วิธี
ก. 7 วิธี
ข. 6 วิธี
ค. 5 วิธี
ง. วิธี

เฉลย ข้อ ค. 5 วิธี
วิธีการทางคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนดังนี้
11 การวิเคราะห์งาน หมายถึงการศึกษารายละเอียดของงานที่ต้องการจะทำนั้นว่ามีวัตถุประสงค์อย่างไร ต้องใช้ข้อมูลอะไรบ้างในการประมวลผล ผลลัพธ์ที่ต้องการมีรูปแบบอย่างไร เป็นต้น การวิเคราะห์แบ่งออกเป็นขั้นตอนดังนี้
o สิ่งที่โจทย์ต้องการ วัตถุประสงค์ของงานต้องการอะไรบ้าง
o การแสดงผลลัพธ์ การพิจารณารายงานที่พิมพ์ว่ามีรูปร่างอย่างไร
o ข้อมูลนำเข้า ข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผลโดยที่ไม่ใช่ค่าคงที่
o การกำหนดต่าตัวแปร การกำหนดชื่อของตัวแปรทุกตัวในโปรแกรม
o วิธีการคำนวณ การแสดงลำดับขั้นตอนการประมวลผล
11 การเขียนผังงาน การใช้ผังงานหรือรูปภาพแสดงแทนลำดับขั้นตอนทำงานของโปรแกรม
11 การเขึยนโปรแกรม การนำผังงานมาเขียนเป็นรหัสคำสั่งของภาษานั้น ๆ
11 การทดสอบโปรแกรม การตรวจสอบความถูกต้องและความสมบูรณ์ของคำสั่งต่าง ๆ ในโปรแกรม เพื่อหาข้อผิดพลาดแล้วนำมาแก้ไข
11 การนำข้อมูลจริงเข้าเครื่องและทำเอกสารประกอบโปรแกรม หลังจากทดสอบโปรแกรมเรียบร้อยแล้วขั้นนี้ก็ไม่มีปัญหาสามารถนำข้อมูลจริงเข้าเครื่องเพื่อนำไปประมวลผลตามโปรแกรมนั้นได้ทันทีจนกระทั่งได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
URL: http://cptd.chandra.ac.th/selfstud/cobol/pass1.htm

8. เครื่องในยุค 8 บิต คือ CP/M ย่อมาจาก
ก. Control Process microsoft
ข. Computer Programming microsoft
ค. Control Personal Computer
ง. Control Program for Microcomputer

เฉลย ข้อ ง. Control Program for Microcomputer
ซีพีเอ็ม หรือ CP/M (Control Program/Monitor หรือ Control Program/Microcomputers) เป็นระบบปฏิบัติการ ซึ่งเดิมเขียนเพื่อทำงานบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ที่ใช้ชิพตระกูล 8080/85 ของอินเทล CP/M เริ่มเขียนโดย แกรี คิลดัล (Gary Kildall) แห่งบริษัท ดิจิทัล รีเสิร์ช (Digital Research, Inc.) เดิมเป็นระบบซิงเกิลทัสก์ และทำงานกับเฉพาะโพรเซสเซอร์ขนาด 8 บิต และหน่วยความจำไม่เกิน 64 กิโลไบต์ แต่รุ่นหลังรองรับการทำงานหลายผู้ใช้และขยายไปทำงานบนโปรเซสเซอร์ซึ่งปัจจุบันนี้ล้าสมัยแล้วหลังจากเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ได้ขยายมาเป็นเครื่องขนาด 16 บิต
URL: http://th.wikipedia.org/wiki/CP/M
9. ผังงานระบบจะแสดงรายละเอียดการทำงานเป็นแบบใด
ก. Interactive Flowchart
ข. System Flowchart
ค. Program Flowchart
ง. Interup Flowchart

เฉลย ข. System Flowchart
ผังงานระบบ(System Flowchart) เป็นการใช้แผนภาพที่ใช้แสดงอินพุท เอาต์พุต และการประมวลผล(Process) ของระบบ ในบางกรณี เราใช้ผังงานระบบแทนแผนภาพแสดงกระแสข้อมูล ในบางกรณีก็ใช้ด้วยกัน ตัวอย่าง ผังงานระบบสำหรับแก้ไขข้อมูลในจานแม่เหล็ก
URL: http://irrigation.rid.go.th/rid15/ppn/Knowledge/System%20Analysis%20and%20Design/System%20Analysis%20and%20Design1.htm

10. ข้อใดไม่ใช่วัตถุประสงค์ของสารสนเทศ
ก. เพิ่มพูนระดับความรู้
ข. ใช้ในการติดต่อสื่อสาร
ค. ผิดทุกข้อ
ง. ลดแนวทางตัดสินใจ

เฉลย ข้อ ค. ผิดทุกข้อ

ข้อมูลและสารสนเทศนับว่ามีประโยชน์ต่อการนำไปใช้บริหารงานด้านต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่น

1. ด้านการวางแผน สามารถนำสารสนเทศไปใช้ในการวางแผนเกี่ยวกับการจัดการองค์การ การบริหารงานทรัพยากรมนุษย์ กระบวนการผลิตสินค้า การตลาด เป็นต้น

2. ด้านการตัดสินใจ สามารถนำสารสนเทศไปใช้ในการตัดสินใจเพื่อเลือกแนวทางหรือทางเลือกที่มีปัญหาน้อยที่สุดในการแก้ปัญหาต่าง ๆ การมีสารสนเทศที่สมบูรณ์ ทันสมัย และครบถ้วนจะช่วยให้การตัดสินใจถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

3. ด้านการดำเนินงาน สามารถนำสารสนเทศไปใช้ในการดำเนินงานต่าง ๆ เช่น ใช้เพื่อควบคุมหรือติดตามผลการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับกฎระเบียบ วัตถุประสงค์ และเป้าองค์การ

URL: http://www.itdestination.com/resources/tech/showtech.php?00004


11. ข้อใดมีความหมายว่า "ผู้จัดตารางเวลา" ที่ถูกต้อง
ก. Librarian
ข. Scheduler
ค. Operrator
ง. Service
เฉลย ข้อ ข. Scheduler
ผู้จัดตารางเวลา (Scheduler) ทำหน้าที่จัดตารางเวลาการใช้คอมพิวเตอร์ให้กับงานแต่ละชนิดภายใน ห้อง คอมพิวเตอร์ เช่น ช่วงเวลาใดจะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานอะไร เพื่อให้งานทั้งหมด ดำเนินไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และไม่เกิดปัญหาระหว่างผู้ใช้ ตลอดจนใช้เวลาในการประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยบุคคลที่ทำหน้าที่นี้ควรเข้าใจ ลักษณะงานขององค์การและการทำงาน ของระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถที่จะจัดตาราง เวลาการปฏิบัติงานของ ระบบได้อย่างเหมาะ
URL: http://std.kku.ac.th/4830503311/mis/file%20mis/l1-7.htm

11 ประเทศใดเป็นผู้ประดิษฐ์ลูกคิด
ก. ฝรั่งเศส
ข. จีน
ค. อังกฤษ
ง. อเมริกา
เฉลย ข้อ ข. จีน
คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องประมวลผล โดยมีพื้นฐานมาจากการคิดคำนวณวิวัฒนาการของ
คอมพิวเตอร์มีมาอย่างต่อเนื่องโดยเริ่มต้นเมื่อ 7,000 ปีมาแล้วที่ชาวจีนคิดค้นประดิษฐ์ลูกคิด
ในการคำนวณ
URL: http://www.geocities.com/kanokwan73/his_born.html

12. ใครเป็นผู้ประดิษฐ์ Slide Rule
ก. Blaise Pascal
ข. William Augtred
ค. Charles Babbage
ง. Ada Augusta
เฉลย ข้อ ข. William Augtred
วิลเลียม ออตเทรต( William Oughtred) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษได้ประดิษฐ์ไม้บรรทัดคำนวณ ( Slide Rule) ซึ่ง ต่อมากลายเป็นพื้นฐานของการสร้างคอมพิวเตอร์แบบอนาลอก
URL: http://www.md.chula.ac.th/th/cunit/com_story.html




13. เครื่องคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลกชื่อว่า
ก. Mark I
ข. Eniac
ค. Edvac
ง. Univaci
เฉลย ข้อ ข. Eniac
ENIAC เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก
จอห์น ดับลิว มอชลีย์ (John W. Mauchly) และ เจ เพรสเพอร์ เอคเกิรต (J. Prespern Eckert) ได้รับทุนอุดหนุนจากกองทัพสหรัฐอเมริกา ในการสร้างเครื่องคำนวณ ENIAC เมื่อปี 1946 นับว่าเป็น "เครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลก หรือคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก" ENIAC เป็นคำย่อของ Electronics Numerical Integrator and Computer เป็นเครื่องคำนวณที่มีจุดประสงค์เพื่อใช้งานในกองทัพ โดยใช้คำนวณตารางการยิงปืนใหญ่ วิถีกระสุนปืนใหญ่ อาศัยหลอดสุญญากาศจำนวน 18,000 หลอด มีน้ำหนัก 30 ตัน ใช้เนื้อที่ห้อง 15,000 ตารางฟุต เวลาทำงานต้องใช้เวลาถึง 140 กิโลวัตต์ คำนวณในระบบเลขฐานสิบ เครื่อง ENIAC นี้มอชลีย์ ได้แนวคิดมาจากเครื่อง ABC ของอาตานาซอฟ

URL: http://library.uru.ac.th/webdb/images/computer-history0011.html

14. เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่นำมาใช้ในประเทศไทยคือ
ก. IBM 1401
ข. IBM 1620
ค. IBM 1200
ง. IBM 1630
เฉลย ข้อ ข. IBM 1620
ประเทศไทยเริ่มมีคอมพิวเตอร์ใช้เป็นครั้งแรก โดยที่คอมพิวเตอร์เครื่องแรกในประเทศไทยได้ติดตั้งที่ ภาควิชาสถิติ คณะพานิชยศาสตร์และการบัญชีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนี้คือ IBM 1620 ซึ่งได้รับมอบจากมูลนิธิเอไอดี และบริษัทไอบีเอ็ม แห่ง ประเทศไทยจำกัด ปัจจุบันหมดอายุการใช้งานไปแล้ว จึงได้มอบให้แก่ศูนย์บริภัณฑ์การศึกษาท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ
URL: http://www.thaicyberpoint.com/ford/blog/id/193/

15. คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่มสุดคือ
ก. ไมโครคอมพิวเตอร์
ข. ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์
ค. เมนเฟรม
ง. มินิคอมพิวเตอร์
เฉลย ข้อ ข. ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์
คอมพิเตอร์แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
1) ซูปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Supercomputers) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีความสามารถในการทำงานมากที่สุดด้วย
2) เมนแฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe computers) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่มีความสามารถในการปรมวลผลข้อมูลที่มีจำนวนมหาศาลนับเป็นล้าน ๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว เหมาะกับหน่วยงานเช่น ธนาคาร สายการบิน เป็นต้น
3) คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal computers) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็ก และมีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลไม่มากนัก
บางครั้งอาจเรียกว่า "ไมโครคอมพิวเตอร์" (Microcomputers)

16. ข้อใดไม่ใช่ส่วนประกอบของ CPU
ก. Controller
ข. Central Unit
ค. Primary Storage
ง. Main Memory
เฉลย ข้อ ข. Central Unit
CPU เปรียบเสมือนสมองของเครื่องคอมพิวเตอร์ มีหน้าที่ในการคำนวณประมวลผล
ข้อมูลและเป็นศูนย์กลางการควบคุมการ ทำงาน ของอุปกรณ์ต่างๆ โดย CPU ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักได้แก่
1.1 ส่วนควบคุม(Control Unit) เป็นศูนย์กลางการควบคุมการทำงานภายในหน่วยประมวลผล
1.2 ส่วนการคำนวณทางคณิตศาสตร์และตรรกะศาสตร์(Arithmetic/Logic Unit) เป็นส่วนของการคำนวณต่างๆ
1.3 ส่วนหน่วยความจำและรีจิสเตอร์(Primary Memory/Register) ช่วยในการเก็บข้อมูลชั่วคราวเพื่อนำไปประมวลผลหรือจัด เตรียมข้อมูลก่อนและหลังการจัดเก็บข้อมูล
URL: http://montharop071.blogspot.com/2006/12/cpu_3530.html

17. อุปกรณ์ที่สามารถทำงานได้โดยชุดคำสั่งคือ
ก. Software
ข. Hardware
ค. Pepleware
ง. Harddisk
เฉลย ข้อ ข. Hardware
ซอฟต์แวร์ (software) หมายถึงชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ใช้สั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ซอฟต์แวร์จึงหมายถึงลำดับขั้นตอนการทำงานที่เขียนขึ้นด้วยคำสั่งของคอมพิวเตอร์ คำสั่งเหล่านี้เรียงกันเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จากที่ทราบมาแล้วว่าคอมพิวเตอร์ทำงานตามคำสั่ง การทำงานพื้นฐานเป็นเพียงการกระทำกับข้อมูลที่เป็นตัวเลขฐานสอง ซึ่งใช้แทนข้อมูลที่เป็นตัวเลข ตัวอักษร รูปภาพ หรือแม้แต่เป็นเสียงพูดก็ได้
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์จึงเป็นซอฟต์แวร์ เพราะเป็นลำดับขั้นตอนการทำงานของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งทำงานแตกต่างกันได้มากมายด้วยซอฟต์แวร์ที่แตกต่างกัน ซอฟต์แวร์จึงหมายรวมถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทุกประเภทที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้
การที่เราเห็นคอมพิวเตอร์ทำงานให้กับเราได้มากมาย เพราะว่ามีผู้พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาให้เราสั่งงานคอมพิวเตอร์ ร้านค้าอาจใช้คอมพิวเตอร์ทำบัญชีที่ยุ่งยากซับซ้อน บริษัทขายตั๋วใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในระบบการจองตั๋ว คอมพิวเตอร์ช่วยในเรื่องกิจการงานธนาคารที่มีข้อมูลต่าง ๆ มากมาย คอมพิวเตอร์ช่วยงานพิมพ์เอกสารให้สวยงาม เป็นต้น การที่คอมพิวเตอร์ดำเนินการให้ประโยชน์ได้มากมายมหาศาลจะอยู่ที่ซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์จึงเป็นส่วนสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์ หากขาดซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ก็ไม่สามารถทำงานได้ ซอฟต์แวร์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น และมีความสำคัญมาก และเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้ระบบสารสนเทศเป็นไปได้ตามที่ต้องการ
URL: http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet1/software/software/index.html

18. บัตรเจาะ 80 คอลัมน์มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า
ก. บัตร ATM
ข. บัตร IBM
ค. บัตร UPC
ง. บัตร DRUM
เฉลย ข้อ ข. บัตร IBM
ค. ศ. 1860-1929 เครื่องประมวลผลทางสถิติเครื่องแรก
ดร. เฮอร์แมน ฮอลเลอริธ (Dr. Herman Hollerith) ชาวอเมริกา ได้ประดิษฐ์เครื่องประมวลผลทางสถิติ คือ Tabulating Machine ใช้กับบัตรเจาะรู นำมาประมวลผลข้อมูลในการสำรวจสำมะโมประชากรในสหรัฐอเมริกา และต่อมา ฮอลเลอริธ ได้นำหลักการบัตรเจาะรูของ โจเซฟ แมรี่ แจคคาร์ด มาดัดแปลงเพื่อใช้กับ Tabulating Machine และเรียกบัตรนี้ว่า “บัตรฮอลเลอลิธ (Hollerith Card)” และต่อมาได้พัฒนามาใช้เป็นบัตรเจาะรู 80 คอลัมน์ ใช้กับคอมพิวเตอร์ เรียกว่า “IBM Card” หรือ บัตร 80 คอลัมน์ (ปัจจุบันไม่นิยมใช้บัตรเจาะรูกับคอมพิวเตอร์แล้ว เพราะมีสื่อประเภทอื่นที่มีประสิทธิภาพดีกว่า)
URL: http://yalor.yru.ac.th/~sirichai/e-learning/module1-information-technology/history-com.html

19. แผ่นดิสก์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันคือขนาดใด
ก. 8 นิ้ว
ข. 3.5 นิ้ว
ค. 5.25 นิ้ว
ง. 7.5 นิ้ว
เฉลย ข้อ ข. 3.5 นิ้ว
ดิสก์ 5.25 นิ้วปัจจุบันไม่มีการนำมาใช้งานแล้ว ดิสก์ 3.5 นิ้วปัจจุบันยังมีการใช้งานอยู่บ้าง แต่ก็กำลังจะหมดความนิยมไปในที่สุด
URL: http://www.pm.ac.th/vrj/com/disk.htm

20. Dbase จัดเป็นซอร์ฟแวร์ประเภทใด
ก. Graphic Software
ข. Database Management Software
ค. Word Processing Software
ง. Business Software
เฉลย ข้อ ข. Database Management Software
เป็นชื่อโปรแกรมสำเร็จที่ได้รับความนิยมมากสมัยหนึ่งในด้านการจัดการฐานข้อมูล (database management) ได้รับการพัฒนาติดต่อกันมาหลายรุ่น (version)
URL: http://guru.sanook.com/dictionary/dict_comp/dBASE/

วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สอบเสร็จแล้ว

และแล้วในที่สุดการสอบ กลางภาคเรียนที่ 2ก็จบลง

รู้สึก โล่งอย่างบอกไม่ถูก เหมือนว่า ยกภูเขาออกจากอก

แต่ยังไงก็ตาม ปลายภาคนี้ คงต้องขยันขึ้นอีกหลายเท่าเลย

เพราะดูจากการสอบครั้งที่ผ่านมาแล้ว คะแนนที่ได้คงเน่ามากก

ยังไงก็ สู้ๆๆๆ อาทิตย์หน้า เป็นวันปีใหม่แล้วซิ คงหยุดหลายวันเลย เย้ๆๆๆๆ จะได้พักผ่อนหน่อย

การบ้านก็คงมีมาให้ทำเยอะเช่นเดียวกัน เอาเป็นว่า " MERRY X-mas และ HAPPY NEW YEAR ^๐^ "

วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ในทุกสุขมีทุกข์ ในทุกข์มีสุขปะปน

ในทุกสุขมีทุกข์ ในทุกข์มีสุขปะปน

ในทุกสุขมีทุกข์ ในทุกข์มีสุขปะปน


ความทุกข์ - ความสุข เป็นของคู่กัน
อย่ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเวลาที่เรามีความทุกข์...
ถ้าเราไม่รู้จักความทุกข์ เราจะรู้จักความสุขได้อย่างไร
ถ้าไม่เคยร้อน เราคงไม่รู้จักความหนาว...

หลายๆ ครั้ง เราชอบที่จะไม่ร้อนไม่หนาว
เช่นเดียวกับความสุข...

เมื่อเรามีความสุขแล้ว ความสุขนั้นจบลง
มันก็กลายเป็นความทุกข์โดยปริยาย


ทั้งๆ ที่เราอาจจะไม่รู้สึกอะไรก็ได้
ถ้าเราไม่ได้ไปสัมผัสกับความสุขนั้นมาก่อน

บางคนก็เลยคิดว่า อย่าไปสัมผัสกับความสุขนั้นเลยดีกว่า
จริงๆ แล้ว จะสุขหรือทุกข์ก็อยู่ที่มุมมองของใจเราเท่านั้นเอง


การมอง และการสัมผัสที่เหมือนกัน
ก็ยังให้ความหมายและความรู้สึกไม่เหมือนกัน
เรามาช่วยกันดูในมุมมองที่อาจเหมือน หรือแตกต่าง...
ซึ่งอาจมีเธอกับฉันที่มองเหมือนก็ได้


เหรียญมีสองด้าน
พลิกด้านหัวขึ้น... ด้านก้อยก็คว่ำลง
ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ

ในทุกสุข มีทุกข์แอบแฝง
ในทุกข์ก็มีสุขปะปน
คว่ำความทุกข์ลง
ความสุขก็พลิกหงายขึ้น

______________________
"ดูใจ"............พล ตัณฑเสถียร

ขอบคุณบทความจากทำดีดอทเน็ต(ป้าแก้ว)

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วิกฤติเด็กไทยไม่อยากมาโรงเรียนพรุ่ง

วิกฤติเด็กไทยไม่อยากมาโรงเรียนพรุ่ง

เข้าขั้นวิกฤติเต็มที เด็กไม่อยากมาโรงเรียนเพิ่มสูงขึ้น ผอ.สถาบันรามจิตติเผย 1.5 แสนคน ชอบมาโรงเรียนแค่ 40% ส่วนใหญ่เป็นเด็กมัธยมในต่างจังหวัด อ้างโรงเรียนนั้นไม่ปลอดภัย แถมครูสอนน่าเบื่อ ไม่สร้างแรงบันดาลใจการเรียนรู้ ด้าน "อ.สมพงษ์" แนะปรับรูปแบบการเรียน หาเทคนิคการสอนที่เข้ากับวัยเด็ก


นายอมรวิชช์ นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันรามจิตติ เผยผลการสำรวจนักเรียนจำนวน 150,000 คน จาก 76 จังหวัดทั่วประเทศโดยสุ่มตัวอย่างจังหวัดละ 2,000 คน ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษา ทั้งนี้ ได้ทำการสอบถามเกี่ยวกับความชอบหรือไม่ชอบมาโรงเรียนของนักเรียน โดยให้เลือก 3 ระดับด้วยกัน คือ ชอบมาโรงเรียนมาก ชอบมาโรงเรียนในระดับปานกลาง และไม่ชอบมาโรงเรียนอย่างไรก็ตามผลการสำรวจพบว่ามีนักเรียนที่ชอบมาโรงเรียนมากมีเพียงแค่ร้อยละ 40 เท่านั้น


ทั้งนี้ จากการสำรวจยังพบด้วยว่านักเรียนที่อยู่ในเมือง ไม่ชอบมาโรงเรียนมากกว่านักเรียนที่อยู่นอกเมืองหรือในต่างจังหวัด และนักเรียนระดับประถมชอบไปโรงเรียนมากกว่านักเรียนระดับมัธยม


นอกจากนั้น ยังพบว่าแนวโน้มเด็กส่วนใหญ่มีความรู้สึกว่าโรงเรียนไม่ปลอดภัยนั้นมีสูงขึ้น เพราะพบเห็นภาพความรุนแรงโดยเฉพาะในเด็กมัธยมศึกษาตอนต้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชกต่อยในโรงเรียน แก๊งรีดไถ แถมนิสัยการอ่านหนังสือลดน้อยลงอีกด้วย


"ผลการสำรวจที่ออกมา ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องหันมาทบทวนตัวเอง ตั้งแต่เรื่องวิธีสอนของครู ที่ให้ความสำคัญกับการทำผลงานมากกว่าใส่ใจการสอนเด็ก รวมถึงปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียนด้วย" ผอ.สถาบันรามจิตติกล่าว


ด้าน รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวว่า ผลงานวิจัยของโครงการติดตามสถานการณ์เด็กและเยาวชน Child Watch ในส่วนของกรุงเทพมหานคร สอดคล้องกับผลสำรวจของสถาบันรามจิตติ โดยได้ทำการสำรวจนักเรียนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 9,000 คน ใน 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ จ.สมุทรสาคร จ.สมุทรสงคราม จ.ปทุมธานี จ.นครปฐม และ จ.นนทบุรี


"ผลงานวิจัยพบว่าเด็กขาดความสุข ขาดความกระตือรือร้น และขาดแรงบันดาลใจในการมาโรงเรียนโดยเฉพาะในระดับมัธยม ซึ่งได้มีการตั้งสมมติฐานว่าสาเหตุที่ทำให้เด็กรู้สึกเช่นนั้น เกิดจากเด็กรู้สึกว่าการมาโรงเรียนไม่น่าสนุก น่าเบื่อ ถึงขนาดคอยเช็กชั่วโมงเรียนว่าชั่วโมงไหนครูไม่เข้าสอนบ้าง สาเหตุหลักๆ เป็นเพราะครูมุ่งแต่จะทำผลงานทำให้ไม่มีเวลาดูแลเด็ก ทำให้เด็กรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง นอกจากนั้นเนื้อหาของหลักสูตรยังไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เด็กต้องการจะเรียนรู้ ปัญหานี้ถือเป็นปัญหาใหญ่ และเป็นเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน" รศ.ดร.สมพงษ์กล่าว

อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ยังกล่าวถึงแนวทางแก้ปัญหาด้วยว่า ผู้เกี่ยวข้องต้องออกแบบว่าจะทำอย่างไรให้โรงเรียนน่าอยู่ โดยหากิจกรรมเข้ามาเสริมเพิ่มความกระตือรือร้นให้กับเด็ก รวมถึงการหาอุปกรณ์การเรียนการสอนและสื่อการสอนที่สร้างสรรค์ รวมทั้งหาเทคนิควิธีการเรียนที่เข้ากับวัยของเด็กด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/12469.html

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551

** ข้อดีของการสอบตก VS ข้อเสียของการสอบผ่าน **

ข้อดีของการสอบตก VS ข้อเสียของการสอบผ่าน ..>>>>>>>>

ข้อดีของการสอบตก

1. เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันภายในจิตใจของเรา เวลาเราได้คะแนนน้อย เราจะได้ไม่เกิดอาการซึมเศร้าจนเกินไป

2. เป็นการประเมินตัวเองในระดับหนึ่ง ทำให้เราทราบถึงข้อบกพร่องของตัวเอง จะได้แก้ไขได้ตรงจุด

3. การซ่อม ถือว่าเป็นการทบทวนการทำข้อสอบของเราอีกครั้งหนึ่ง จะได้เป็นอุทาหรณ์ แล้วเราจะได้ไม่พลาดอีก หรือถ้าให้ทำงานอื่นส่ง ก็เพื่อเป็นการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของเราให้ดีขึ้น

4. คิดไว้เสมอว่า พลาดตอนนี้ ดีกว่าไปพลาดตอนสอบแอดมิชชั่น (จริงไหม)

ข้อเสียของการสอบผ่าน

1. ถ้าเราไม่เคยตกเลยสักครั้ง เราก็จะไม่มีภูมิคุ้มกันความโศกเศร้าเสียใจ ซึ่งก็เป็นสาเหตุเด่นๆ ที่ทำให้เด็กเรียนเก่งฆ่าตัวตายมาแล้วหลายคน (ใช่รึเปล่า)

2. การแข่งขันก็จะยิ่งปรากฏให้เห็นได้ชัด เพราะ ถ้าเราสอบผ่าน แต่เพื่อนอีกคนนึงสอบผ่านเหมือนกัน แต่ดันได้คะแนนเยอะกว่าเรา ใจเราก็จะเริ่มคิดหาวิธีให้ตัวเองสอบได้คะแนนดีกว่าเพื่อนแล้ว เนี่ยแหละ ความทุกข์ความอยาก มันเกิดขึ้นที่ใจเราเป็นต้นเหตุทั้งนั้น

3. อาจจะทำให้เราประหม่าในเวลาสอบครั้งต่อไป เพราะใจเรามัวแต่คิดว่า “ยังไง เราก็สอบผ่าน” แล้วเราก็ขาดความกระตือรือร้นไปโดยปริยาย
4. การที่เราสอบผ่าน ขอให้ถามตัวเองดีๆว่า เราผ่านด้วยความสามารถของตัวเองรึเปล่า ถ้าคำตอบคือไม่ เราก็จะไม่ได้อะไรจากการสอบในแต่ละครั้งเลย

เพราะฉะนั้นไม่ต้องเสียใจไปกับการสอบตกหรอก นะ

ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=64&post_id=1276307&order_reply=0

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2551

"กินปลา" ดีกว่า "น้ำมันปลา" ป้องกันความเสี่ยง "โรคหัวใจ"

"กินปลา" ดีกว่า "น้ำมันปลา" ป้องกันความเสี่ยง "โรคหัวใจ"

สถาบันอาหาร สุขภาพ และโภชนาการมนุษย์แห่งนิวซีแลนด์ แนะนำว่า ควรจะกินปลาแซลมอนโดยตรงจะได้ คุณประโยชน์มากกว่ากินน้ำมันปลาแคปซูล

นักวิจัยของสถาบันได้ศึกษาพบว่า แม้ว่าการกินปลากับกินแคปซูลน้ำมันปลาจะได้ประโยชน์พอๆกัน ช่วยเพิ่มระดับของสารโอเมกา-3 แต่การกินปลายังได้คุณประโยชน์ ช่วยให้เลือดมีความเข้มข้นของเซเลเนียมที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากขึ้นอีกด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์เวลมา สโตนเฮาส์ หัวหน้าคณะนักวิจัย ยังแจ้งด้วยว่า เซเลเนียมนอกจากมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเป็น มะเร็งแล้ว ยังเชื่อว่ามันยังช่วยขจัดความเสี่ยงของโรคหัวใจอีกด้วย.

ที่มาจากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ความแตกต่างระหว่าง http:// กับ https://

ความแตกต่างระหว่าง http:// กับ https://

ข้อควรรู้ เกี่ยวกับ http vs https ที่เราเห็นบ่อยๆ แต่ไม่รู้ความแตกต่างว่า ตัว S ที่ต่อท้าย มีความหมายว่า “Secure” หรือก็คือ ปลอดภัย สำหรับการซื้อ การกรอกฟอร์ม เช่น บัตรเครดิต

เวลาเราท่อง website และอาจต้องทำธุรกรรมบางอย่าง เช่น ซื้อของ ใส่รหัสบัตรเครดิต อะไรทำนองนี้

ต้องระวัง ง่ายๆ โดยดูว่า website ที่เราจะทำการกรอกข้อมูลส่วนตัวของเราลงไปนั้นเป็น http:// หรือ https://

https:// ตัว S ที่ต่อท้าย มีความหมายว่า “Secure” หรือก็คือ ปลอดภัย สำหรับการซื้อ การกรอกฟอร์ม เช่น บัตรเครดิต ใน website ที่เป็น https

แต่ถ้าเราจะไปซื้อของ หรือ กรอกข้อมูลบัตรเครดิต ผ่านทาง website ที่เป็น http ไม่มี S ต่อท้าย ก็เตรียมตัวโดนแฮกข้อมูลส่วนตัวได้เลย เพราะมันไม่ secure

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน

ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1199745

สุภาษิต... อังกฤษ-Thai

สุภาษิต... อังกฤษ-Thai

กันไว้ดีกว่าแก้: Prevention is better than cure.

กินปูนร้อนท้อง: Conscience does make cowards of us all.

แกงจืดจึงรู้คุณเกลือ: You never miss the water till the well runs dry.

ไกลตา ไกลใจ: Long absent, soon forgotten. Out of sight, out of mind.

ขวานผ่าซาก: Call a spade a spade.

ของสูงแม้ปองต้องจิต มิคิดปีนป่ายจะได้หรือ: Nothing ventured, nothing have.

ข้างนอกขรุขระ ข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง: All are not thieves that dogs bark at.
Appearances are deceptive.


เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม: When in Rome do as the Romans do.

คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล: Keep not ill man company lest you increase the number.

คมในฝัก: Hide your light under a bushel.

ความรักเหมือนโรค บันดาลตาให้มืดมน: Love is blind.

งานเลี้ยง ต้องมีวันเลิกรา : All good things come to an end.

ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก อย่าได้ไว้ใจนัก: Never trust a sleeping dog, a
swearing Jew, a praying drunkard, or an sweeping woman.

ตบมือข้างเดียวไม่ดัง: It takes two to make a quarrel.

ที่แล้วมาก็แล้วกันไป: Forgive and forget. Let bygones be bygones. To err is human to forgive divine.

นารีงามสรรพเมื่อดับเทียน: All cats are grey in the dark.

มีเมียผิดคิดจนตัวตาย: Marry in waste and repent at leisure.

รักสนุก ทุกข์ ถนัด: No joy without annoy. No pleasure without repentance.

ขอบคุณบทความจากสาระแนดอทคอม

ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/12340.html

วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วันรัฐธรรมนูญ

วันรัฐธรรมนูญ

วันรัฐธรรมนูญ วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย

ความหมาย : รัฐธรรมนูญ หมายถึง กฎหมายว่าด้วยระเบียบการปกครองประเทศ

ความเป็นมา : การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การปกครองของชาติไทย เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ

สาเหตุที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

๑. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรีทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย

๒. หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ผลอันนี้ได้กระทบมาถึงไทยด้วย พระองค์ได้แก้ไขเศรษฐกิจโดยปลดข้าราชการออก ยังความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการ

๓. อิทธิพลจากตะวันตกเกี่ยวกับอุดมการทางการเมือง ทำให้กลุ่มคนหนุ่มต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน

๔. รัฐบาลได้ออกกฏหมายเก็บภาษี อาทิ ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน จากราษฎร

จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการทหาร และราษฎรทั่วไปจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการปฏิวัติ มีคณะผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหาร ซึ่งประกอบด้วยพันเอก พระยาพหลพยุหเสนา พันเอกพระยาทรงสุรเดช และพันเอกพระฤทธิอาคเนย์ เป็นผู้บริหารประเทศ

วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเรียกว่า "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว" สาระสำคัญของธรรมนูญการปกครองฉบับนี้ได้แก่ การที่กำหนดว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย การใช้อำนาจสูงสุดก็ให้มีบุคคลคณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรดังนี้ คือ

๑. พระมหากษัตริย์
๒. สภาผู้แทนราษฎร
๓. คณะกรรมการราษฎร
๔. ศาล

ลักษณะการปกครองแม้จะเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยแต่ก็ถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ เป็นสถาบันที่ถาวรและมีการสืบราชสมบัติต่อไปในพระราชวงศ์ การปฏิบัติราชการต่างๆ จะต้องมีกรรมการราษฎรผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ โดยได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการราษฎรจึงจะใช้ได้ สถาบันที่เกิดใหม่คือ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีอำนาจทางนิติบัญญัติออกกฎหมายต่างๆ ซึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้แล้วจึงมีผลบังคับได้ เหตุนี้ในระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สภาผู้แทนจึงเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือง ส่วนการใช้อำนาจตุลาการยังคงให้ศาลยุติธรรมที่มีอยู่แล้วพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามกฎหมายได้ตามเดิม

กระทั่งถึง วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร ซึ่งมีหลักการต่างกับฉบับแรกในวาระสำคัญหลายประการ อาทิได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นการปกครองแบบรัฐสภา ทั้งนี้เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๔๗๕ ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองเป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้งให้บริหารราชการแผ่นดิน แต่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทน รัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติมิได้ใช้แต่เพียงอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่มีอำนาจที่จะควบคุมคณะรัฐมนตรีในการบริหารแผ่นดินด้วย แต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาลก็มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนได้ หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัยหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญของรัฐที่มีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งใหม่ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์นั้นได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ้

รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นเครื่องกำหนดระเบียบแบบแผนของสังคม เพื่อเป็นการระลึกถึงรัฐธรรมนูญฉบับแรก อันเป็นฉบับถาวร และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย ทางราชการจึงกำหนด วันที่ ๑๐ ธันวาคมของทุกปี เป็นวันรัฐธรรมนูญ

ข้อมูลจาก : หนังสือ "วันสำคัญโครงการปีรณรงค์วัฒนธรรมไทยและแนวทางในการจัดกิจกรรม"
โดย สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๓๗

ที่มาจาก : www.bu.ac.th

ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=64&post_id=1289075

ความรัก.. มีค่ามากเพียงใด



ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=53&post_id=1289273

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ฉุกคิด... เพื่อชีวิตเปี่ยมสุข

ฉุกคิด... เพื่อชีวิตเปี่ยมสุข

จงทำดี... อย่าหวังค่าตอบแทน ถึงแม้จะเป็นเพียงคำสรรเสริญก็ตาม
จงทำดี... ให้มันดี ถึงแม้ผลงานออกมาไม่ดี ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว
จงทำดี.... แต่อย่าอวดดี เพราะทุกคนก็มีดีไม่เหมือนกัน

"คนโง่ไม่มีความพยายามที่จะเข้าใจอะไรได้เลย
ได้แต่เอะอะโวยวายว่า.. "ทำไมถึงเป็นแบบนี้"..."

คนเราเจอทั้งสุขและทุกข์.... เพราะว่าทำทั้งดี ทำทั้งชั่ว

"ถ้าหากเราอยากให้คนอื่นมาเข้าใจหรือเอาใจในตัวเรา
เหมือนกับว่าเรายังเป็นเด็กไร้เดียงสา...ไม่รู้จักเติบโตเลย ..."

"เราพยายามที่จะเข้าใจคนอื่น มากกว่าที่จะให้คนอื่นมาเข้าใจ
ตอนนี้เรากำลังจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว..."

"เราอย่าเข้าใจว่า..มีความทุกข์มากกว่าคนอื่น
คนอื่นมีความทุกข์มากกว่าเราก็ยังมี..."

"การร้องไห้เป็นการแสแสร้งที่แบบเนียนเหลือเกินในวันนี้..
เพราะพรุ่งนี้เราจะร้องเพลงก็ได้..."

จะให้ได้ดังใจเรานั้นทุกอย่างไม่มีเลย

เพียงแต่เรายอมรับเขาอยู่ในฐานะใดฐานะหนึ่งเท่านั้น..."

หากยึดถือมาก.. ให้ความสำคัญมันมาก... ทุกข์มาก
หากยึดถือน้อย.. ให้ความสำคัญมันน้อย ...ทุกข์น้อย

ยินดีไปตามความอยาก... คือความมักมากไม่มีสิ้นสุด

อุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่น... กับความรับผิดชอบ... มันคนละอย่างกัน

ทำดีในวันนี้... พรุ่งนี้จะดีของมันเอง

คนโง่จะเสียใจ... ร้องไห้ตลอดวัน โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
ส่วนคนฉลาด... จะรีบแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น... เท่าที่จะทำได้

เรารักในสิ่งใด... จะต้องจากในสิ่งนั้น... ช้าหรือเร็วมันอีกเรื่องหนึ่ง

"เรายืนอยู่บนสนามชีวิต... ต้องต่อสู้อุปสรรคทุกรูปแบบ
จนกว่าจะปิดฉากละครแห่งชีวิต.. ด้วยการตายลงไป..."

บทเรียนในตำราเรียน... กับบทเรียนในชีวิตจริง...มันคงละอย่างกัน

"ไม่มีตำราเล่มไหน... ที่จะสอนเราทุกย่างก้าว
ว่าวันนี้เราจะต้องเจออะไรบ้างและจะต้องแก้อย่างไร ?..."

เสียเงินทอง.. เสียสิ่งของ.. เสียเวลา.. และก็เสียใจ.. เป็นการจ่ายค่าเทอมชีวิต

"ที่จริงคนตาบอด... พิกลพิการเขาน่าจะเป็นทุกข์มากกว่าเรา
ทำไม ? เขายังยิ้มแย้มแจ่มใสได้..."

"คนอื่นสามารถบังคับเราเป็นเพียงบางเวลา
ส่วนใจของเรานั้น ไม่มีใครสามารถบังคับได้นอกจากตัวของเราเท่านั้น..."

"ทำไมเราจึงทุกข์กว่าคนพิกลพิการเล่า...
กายพิการ แต่ใจไม่ พิการ ใจพิการ แต่กายไม่พิการ อย่างไหนดีกว่ากัน ?..."

ขอบคุณบทความจากทำดีดอทเน็ต(จั่นเจา)

ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/12211.html

หมอเตือน! หน้าหนาวระวังเลือดหนืด

หมอเตือน! หน้าหนาวระวังเลือดหนืด

นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้สภาพอากาศเริ่มหนาวเย็น อาจทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน ทำให้เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ หอบหืด หรือหลอดลมอักเสบ รวมถึงปอดบวมด้วย อาการเบื้องต้นคอจะแห้ง เจ็บคอ เพราะฤดูหนาวอากาศแห้ง ฝุ่นละอองมาก โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง เนื่องจากร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ต้องสวมเสื้อผ้าให้ความอบอุ่นร่างกายอย่างเพียงพอ

"สภาพอากาศที่มีความหนาวเย็น หากใส่เสื้อผ้าให้ความอบอุ่นร่างกายไม่เพียงพอ จะมีผลทำให้ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี อาจทำให้ช็อคเสียชีวิตได้ เนื่องจากความเย็นจะทำให้เลือดมีความหนืด หัวใจต้องทำงานสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกายหนักขึ้น ที่น่าห่วงก็คือเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ ที่อยู่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งอากาศหนาวเย็นกว่าภาคอื่นๆ เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตสูงที่สุด เนื่องจากศูนย์ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายของเด็กยังทำงานไม่เต็มที่ อุณหภูมิร่างกายเด็กจึงเปลี่ยนแปลงได้ง่ายตามสภาพอากาศ ในปีที่ผ่านมีรายงานเสียชีวิตแล้ว 1 ราย" นพ.ปราชญ์กล่าว

นพ.สมศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กล่าวว่า สิ่งที่ต้องระวังในช่วงฤดูหนาวอีกเรื่องหนึ่งคือ ความเปียกชื้น โดยการอาบน้ำหรือชำระล้างตัวเด็ก ควรใช้น้ำอุ่นๆ และอาบน้ำในบริเวณที่ไม่มีลมโกรก เลือกเวลาที่อากาศไม่เย็นมาก เช่น ตอนบ่าย ส่วนในเด็กเล็กให้หมั่นเปลี่ยนผ้าอ้อม เมื่อเด็กปัสสาวะหรืออุจจาระเปียกแฉะ นอกจากนี้ ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ประเภทแป้งและไขมัน เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว เนื้อสัตว์ติดมัน ซึ่งจะช่วยสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย เด็กทารกควรให้กินนมแม่เพราะนอกจากเด็กจะได้รับภูมิต้านทานโรคจากนมแม่แล้ว การที่แม่โอบลูกขณะกินนมยังสร้างความอบอุ่นให้กับเด็กด้วย ส่วนเด็กโตนอกจากรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ริมฝีปากและผิวหนังไม่แห้งแตก

ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=64&post_id=1287557