ปวดท้องตรงไหน เป็นอะไรกันแน่
อาการปวดท้องมักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ
แต่ส่วนมากเราจะไม่ค่อยรู้สาเหตุว่าปวดเพราะอะไร ทนได้ก็ทน แค่ถ้าทนไม่ได้ถึงจะกินยาแก้ปวด มูลนิธิหมอชาวบ้านจึงให้คำแนะนำว่า หน้าท้องแข็งเป็นดาน กดแล้วเจ็บ หรือกดแล้วท้องยุบลงไป แต่เจ็บทันทีที่ปล่อยมือ มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระมีสีดำ ปัสสาวะไม่ออกหรือถ่ายเป็นเลือด หน้าซีด เป็นลม ตัวเย็น เหงื่อออก ไม่รู้สึกตัว เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตัวเหลือง อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือข้อใดข้อหนึ่ง ต้องรีบไปหาหมอทันที
เราสามารถแบ่งบริเวณที่ปวดท้องได้เป็น 9 ส่วน คือ
1. ชายโครงขวา คือตับและถุงน้ำดี
อาการที่พบมักจะกดแล้วเจอก้อนแข็งร่วมกับอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า อาจเป็นโรคเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี เช่น ตับอักเสบ ฝีในตับ ถุงน้ำดีอักเสบ
2. ใต้ลิ้นปี่ คือ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับ และกระดูกลิ้นปี่
- ปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะ
- ปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน อาจเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ
- คลำเจอก้อนเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดใหญ่ อาจหมายถึงตับโต
- คลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ มักเป็นกระดูกลิ้นปี่
3. ชายโครงขวา คือ ม้าม ซึ่งมักจะคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณนี้
4. บั้นเอวขวา คือท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่
- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติหรือถ่ายเป็นเลือด อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ
- ปวดร้าวถึงต้นขา อาจเป็นนิ่วในท่อไต
- ปวดร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น อาจเป็นกรวยไตอักเสบ
- คลำเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นไตโตผิดปกติหรือเนื้องอกในลำไส้ใหญ่
5. รอบสะดือ คือ ลำไส้เล็ก มักพบในโรคท้องเดินหรือไส้ติ่งอักเสบ (ก่อนจะย้ายมาปวดท้องน้อยขวา) แต่ถ้าปวดแบบมีลมในท้อง ก็อาจเป็นเพราะกระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ
6. บั้นเอวซ้าย คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ (เหมือนข้อ 4)
7. ท้องน้อยขวา คือ ไส้ติ่ง ท่อไต และปีกมดลูก
- ปวดเกร็งเป็นระยะ ร้าวมาที่ต้นขา อาจเป็นเพราะมีก้อนนิ่วในกรวยไต
- ปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก มักเป็นไส้ติ่งอักเสบ
- ปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว มักเป็นเพราะปีกมดลูกอักเสบ
- คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ
8. ท้องน้อย คือ กระเพาะปัสสาวะและมดลูก
- ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายกระปริบกระปรอย มักเป็นเพราะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
- ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน เป็นอาการปวดประจำเดือน แต่ในรายที่ปวดเรื้อรังในหญิงแต่งงานแล้วไม่มีบุตร อาจเป็นเนื้องอกในมดลูก
9. ท้องน้อยซ้าย คือ ปีกมดลูกและท่อไต
- ปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา มักเป็นนิ่วในท่อไต
- ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว เป็นเพราะมดลูกอักเสบ
- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ
- คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ อาจเป็นเนื้องอกในลำไส้.
ขอขอบคุณเนื้อหาดีดี โดย:ชีวจิต
ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/11255.html
วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551
วิธีต้มบะหมี่สำเร็จรูปที่ถูกต้อง *~
วิธีต้มบะหมี่สำเร็จรูปที่ถูกต้อง *~
ปกติเราจะใส่บะหมี่ในน้ำพร้อมเครื่องปรุงและต้มประมาณ 3 นาทีจนเดือด
ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด!!
การใส่เครื่องปรุงในน้ำและต้มจนเดือด จะทำให้ผงชูรสเปลี่ยนเป็นสารพิษ ดังนั้นเส้นบะหมี่สำเร็จรูปซึ่งเคลือบด้วย wax ผสมผงชูรส ก็จะกลายสภาาพเป็นสารพิษเมื่อต้มในน้ำเดือด ซึ่งร่ายกายต้องใช้เวลา 4 - 5 วันในการขับ wax ผสมผงชูรสซึ่งกลายสภาพเป็นสารพิษนี้ออกจากร่างกาย
วิธีการต้มบะหมี่ที่ถูกต้อง!!
1.เทบะหมี่สำเร็จรูปในน้ำและต้มจนเดือด
2.เมื่อบะหมี่สุกแล้ว เทน้ำที่ต้มบะหมี่ทิ้ง (เป็นการเท wax ผสมผงชูรสซึ่งเป็นสารพิษทิ้งไป)
3.ต้มน้ำให้เดือดอีกครั้ง และใส่เส้นบะหมี่ที่ต้มไว้แล้วตามข้อ 2 และปิดไฟ (ปิดเตาแก๊ส หรือเชื้อเพลิงอะไรก็แล้วแต่ที่ใช้ต้มน่ะ)
** เมื่อปิดไฟ (เชื้อเพลิง ฯลฯ) เรียบร้อยแล้ว จึงใส่เครื่องปรุงขณะน้ำยังร้อน** (ผงชูรสในเครื่องปรุงจะได้ไม่กลายเป็นสารพิษอีก)
ถ้าเป็นบะหมี่ชนิดแห้ง เมื่อเทน้ำตามข้อ 2 ทิ้งแล้ว
จึงใส่เครื่องปรุงผสมให้เข้ากัน ก่อนรับประทาน
เพื่อสุขภาพของคุณเอง
ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/11278.html
ปกติเราจะใส่บะหมี่ในน้ำพร้อมเครื่องปรุงและต้มประมาณ 3 นาทีจนเดือด
ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด!!
การใส่เครื่องปรุงในน้ำและต้มจนเดือด จะทำให้ผงชูรสเปลี่ยนเป็นสารพิษ ดังนั้นเส้นบะหมี่สำเร็จรูปซึ่งเคลือบด้วย wax ผสมผงชูรส ก็จะกลายสภาาพเป็นสารพิษเมื่อต้มในน้ำเดือด ซึ่งร่ายกายต้องใช้เวลา 4 - 5 วันในการขับ wax ผสมผงชูรสซึ่งกลายสภาพเป็นสารพิษนี้ออกจากร่างกาย
วิธีการต้มบะหมี่ที่ถูกต้อง!!
1.เทบะหมี่สำเร็จรูปในน้ำและต้มจนเดือด
2.เมื่อบะหมี่สุกแล้ว เทน้ำที่ต้มบะหมี่ทิ้ง (เป็นการเท wax ผสมผงชูรสซึ่งเป็นสารพิษทิ้งไป)
3.ต้มน้ำให้เดือดอีกครั้ง และใส่เส้นบะหมี่ที่ต้มไว้แล้วตามข้อ 2 และปิดไฟ (ปิดเตาแก๊ส หรือเชื้อเพลิงอะไรก็แล้วแต่ที่ใช้ต้มน่ะ)
** เมื่อปิดไฟ (เชื้อเพลิง ฯลฯ) เรียบร้อยแล้ว จึงใส่เครื่องปรุงขณะน้ำยังร้อน** (ผงชูรสในเครื่องปรุงจะได้ไม่กลายเป็นสารพิษอีก)
ถ้าเป็นบะหมี่ชนิดแห้ง เมื่อเทน้ำตามข้อ 2 ทิ้งแล้ว
จึงใส่เครื่องปรุงผสมให้เข้ากัน ก่อนรับประทาน
เพื่อสุขภาพของคุณเอง
ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/11278.html
วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2551
Bio @ RUPB
10 วิธีในการคลายความเครียด
10 วิธีในการคลายความเครียด
1. ฟังเพลง หามุมสงบ
นั่งปล่อยใจให้ล่องลอยอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วฟังเพลง เบา ๆ โดยเฉพาะเพลงจำพวก Meditation ซึ่งเดี๋ยวนี้มีให้เลือกหลากหลายแบบตามความต้องการ ทั้งเสียงของดนตรี บรรเลงหรือเสียงธรรมชาติ จำพวกเสียงคลื่น..เสียงน้ำตก..เสียงนกร้อง รับรองว่าจะช่วยสร้างสมาธิให้กลับคื่นสู่สมองและจิตใจได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ เชียวล่ะ
2. ฉายเดี่ยวดูภาพยนตร์
ขอแนะนำให้ฉายเดี่ยวแล้วตีตั๋วดูหนังดีๆ สักรอบ เพราะการไปดูหนังเนี่ยเป็นวิธีที่เวิร์คที่สุดที่จะปลดปล่อยความรู้สึกให้ ล่องลอยอย่างเป็นอิสระไม่จมอยู่กับปัญหา แถมระบายความอัดอั้นตันใจได้อย่างเห็นผล แต่ต้องถามตัวเองก่อนนะว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน เช่น ถ้าอยากร้องไห้ก็ไปดูหนังรักเศร้าเคล้าน้ำตาแล้วก็ร้องไห้ออกมาซะให้พอ หรือถ้าเครียดจัดก็จงไปดูหนังตลกแล้วหัวเราะให้หลุดโลกไปเลย
3. โทรหาเพื่อนรู้ใจ
อย่าคิดว่าตัวเองจะแก้ปัญหาทุกปัญหาได้ดีไปซะหมด หัวใจสาวมั่นแม้จะแกร่งเพียงใดก็ยังต้องการที่พึ่งพิงเสมอ ยกหูโทรศัพท์หาเพื่อนรู้ใจสันคนแล้วระบายความรู้สึกให้เพื่อนได้รับรู้ เพราะการมีคนรับฟังและให้คำปรึกษา จะทำให้ชีวิตที่เอียงกะเท่เร่เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่า ไม่ได้แบกปัญหาอยู่คนเดียวในโลกไงล่ะ
4. เขียนไดอารี่
การเขียนไดอารี่เปรียบเสมือนการเปิดประตูอารมณ์ที่ปล่อยให้ความอัดอั้นตันใจต่างๆ ได้ไหลลงสู่หน้ากระดาษอย่างเป็นอิสระและเป็นส่วนตัวที่สุด เพราะการถ่ายเทความรู้สึกในใจออกมา จะทำให้จิตใจปรับสมดุลได้เร็วขื้น อีกทั้งระหว่างการเขียนไดอารี่นั้นยังถือเป็นการทบทวนความรู้สึกตัวเองที่ดี ที่สุดด้วย ส่วนข้อดีสุดเลิศอีกข้อก็คือ ไดอารี่เป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ที่สุด เพราะรับฟังเราเสมอและไม่เคยเอาความลับไปบอกต่อไงล่ะ
5. พลังแห่งการสัมผัส
ลองมองหาใครสักคนช่วยโอบกอดหรือสัมผัสเบา ๆ เวลารู้สึกเหนื่อยล้าดูสิ เพราะร่างกายคนเราเวลาถูกสัมผัสเนี่ย จะทำให้เกิดฮอร์โมนที่ชื่อ "อ๊อกซี่โทชิน" ซึ่งมีผลในการลดระดับความเหนื่อยและความเครียด ช่วยให้ร่างกายที่กำลังอ่อนล้ารู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
6. สร้างอารมณ์ขัน
พยายามมองหาเพื่อนที่มีอารมณ์ขันช่วยกระตุ้นจิตใจที่แสนห่อเหี่ยวให้หัวเราะได้อีกครั้ง เพราะคนที่หัวเราะง่ายจะมีสุขภาพจิตที่ดี เนื่องจากการหัวเราะจะช่วยลดความดันโลหิตและระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลลง (ฮอร์โมนคอร์ติซอล = ฮอร์โมนแสดงความเหนื่อยล้าในกระแสเลือด) แถมยังช่วยเสริมสร้างระดับของ "อิมโมโนโกลบูลินเอ" ซึ่งเป็นสารแอนตี้บอดี้ที่สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายอีกด้วยนะ เพราะฉะนั้นหัวเราะเข้าไว้ แล้วจะดีเอง
7. สูดกลิ่นหอม
รู้หรือเปล่าว่า...กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์มีผลในการช่วยปลุกประสาทสัมผัสให้สดชื่นตื่นตัว แถมยังกระตุ้นพลังงานในจิตใจได้เป็นอย่างดี เวลาเครียด ๆ ก็ลองสูดกลิ่นหอมของดอกไม้สิ อย่างกลิ่นกุหลาบ มะลิ ลาเวนเดอร์ หรือจะหยดน้ำมันหอมระเหยในน้ำอุ่นกำลังดี แล้วนอนแช่ตัวให้เพลินสักครึ่งชั่วโมงก็ได้ กลิ่นหอมจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้อย่างบอกไม่ถูกเชียวล่ะ
8. ไปตากอากาศ
หาเวลาหลบไปสูดอากาศบริสุทธิ์กับชีวิตท่ามกลางธรรมชาติสักพัก สิ หายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ ปล่อยสมองให้ว่างที่สุด แล้วก็นอนให้มากที่สุดเท่าที่อยากจะนอน เพราะบางทีความรู้สึกเหนื่อยล้าและหดหู่แบบไม่ทราบสาเหตุเนี่ยมันมาจาก ชีวิตที่ยุ่งเหยิงจนเกินไป เพราะฉะนั้นหลบไปนอนตากน้ำค้างดูดาวเสียบ้าง หัวใจจะได้ชาร์จพลังได้ดีขึ้น
9. หาสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน
ลองหาสัตว์เลี้ยงสักตัวมาเป็นเพื่อนเล่นก็ไม่ เลวนะ เพราะการให้เวลากับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด คุยเล่น หยอกล้อกับมันเสียบ้าง จะช่วยให้จิตใจอันแสนจะฟุ้งซ่าน สงบลงได้ แถมรู้จักการให้และมองโลกในแง่ดีมากขึ้นอีกต่างหาก ที่สำคัญยังช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วยนะ
10. จินตนาการแสนสุข
อีกทางเลือกสำหรับการบรรเทาความหดหู่ในส่วนลึก เป็นการดึงตัวเองออกจากโลกปัจจุบัน ทำได้โดยหลับตาแล้วหายใจลึก ๆ จากนั้นก็สร้างจินตนาการถึงความฝันที่วาดหวังเอาไว้ หรือแม้แต่ความหลังอันแสนสุขที่เคยมีการดึงความสุขจากจินตนาการมาใช้จะ ทำ ให้เกิดพลังสร้างสรรค์ในหัวใจ และยังช่วยสลายความเครียดข้างในได้เป็นอย่างดี ทำแบบนี้เงียบๆ สัก 5 นาที รับรองรู้สึกดีแบบทันตาเห็น
เขียนโดย BKK ที่ 10:49
ที่มา : http://heyhaparty.blogspot.com/2007/10/10_21.html
1. ฟังเพลง หามุมสงบ
นั่งปล่อยใจให้ล่องลอยอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วฟังเพลง เบา ๆ โดยเฉพาะเพลงจำพวก Meditation ซึ่งเดี๋ยวนี้มีให้เลือกหลากหลายแบบตามความต้องการ ทั้งเสียงของดนตรี บรรเลงหรือเสียงธรรมชาติ จำพวกเสียงคลื่น..เสียงน้ำตก..เสียงนกร้อง รับรองว่าจะช่วยสร้างสมาธิให้กลับคื่นสู่สมองและจิตใจได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ เชียวล่ะ
2. ฉายเดี่ยวดูภาพยนตร์
ขอแนะนำให้ฉายเดี่ยวแล้วตีตั๋วดูหนังดีๆ สักรอบ เพราะการไปดูหนังเนี่ยเป็นวิธีที่เวิร์คที่สุดที่จะปลดปล่อยความรู้สึกให้ ล่องลอยอย่างเป็นอิสระไม่จมอยู่กับปัญหา แถมระบายความอัดอั้นตันใจได้อย่างเห็นผล แต่ต้องถามตัวเองก่อนนะว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน เช่น ถ้าอยากร้องไห้ก็ไปดูหนังรักเศร้าเคล้าน้ำตาแล้วก็ร้องไห้ออกมาซะให้พอ หรือถ้าเครียดจัดก็จงไปดูหนังตลกแล้วหัวเราะให้หลุดโลกไปเลย
3. โทรหาเพื่อนรู้ใจ
อย่าคิดว่าตัวเองจะแก้ปัญหาทุกปัญหาได้ดีไปซะหมด หัวใจสาวมั่นแม้จะแกร่งเพียงใดก็ยังต้องการที่พึ่งพิงเสมอ ยกหูโทรศัพท์หาเพื่อนรู้ใจสันคนแล้วระบายความรู้สึกให้เพื่อนได้รับรู้ เพราะการมีคนรับฟังและให้คำปรึกษา จะทำให้ชีวิตที่เอียงกะเท่เร่เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่า ไม่ได้แบกปัญหาอยู่คนเดียวในโลกไงล่ะ
4. เขียนไดอารี่
การเขียนไดอารี่เปรียบเสมือนการเปิดประตูอารมณ์ที่ปล่อยให้ความอัดอั้นตันใจต่างๆ ได้ไหลลงสู่หน้ากระดาษอย่างเป็นอิสระและเป็นส่วนตัวที่สุด เพราะการถ่ายเทความรู้สึกในใจออกมา จะทำให้จิตใจปรับสมดุลได้เร็วขื้น อีกทั้งระหว่างการเขียนไดอารี่นั้นยังถือเป็นการทบทวนความรู้สึกตัวเองที่ดี ที่สุดด้วย ส่วนข้อดีสุดเลิศอีกข้อก็คือ ไดอารี่เป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ที่สุด เพราะรับฟังเราเสมอและไม่เคยเอาความลับไปบอกต่อไงล่ะ
5. พลังแห่งการสัมผัส
ลองมองหาใครสักคนช่วยโอบกอดหรือสัมผัสเบา ๆ เวลารู้สึกเหนื่อยล้าดูสิ เพราะร่างกายคนเราเวลาถูกสัมผัสเนี่ย จะทำให้เกิดฮอร์โมนที่ชื่อ "อ๊อกซี่โทชิน" ซึ่งมีผลในการลดระดับความเหนื่อยและความเครียด ช่วยให้ร่างกายที่กำลังอ่อนล้ารู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
6. สร้างอารมณ์ขัน
พยายามมองหาเพื่อนที่มีอารมณ์ขันช่วยกระตุ้นจิตใจที่แสนห่อเหี่ยวให้หัวเราะได้อีกครั้ง เพราะคนที่หัวเราะง่ายจะมีสุขภาพจิตที่ดี เนื่องจากการหัวเราะจะช่วยลดความดันโลหิตและระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลลง (ฮอร์โมนคอร์ติซอล = ฮอร์โมนแสดงความเหนื่อยล้าในกระแสเลือด) แถมยังช่วยเสริมสร้างระดับของ "อิมโมโนโกลบูลินเอ" ซึ่งเป็นสารแอนตี้บอดี้ที่สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายอีกด้วยนะ เพราะฉะนั้นหัวเราะเข้าไว้ แล้วจะดีเอง
7. สูดกลิ่นหอม
รู้หรือเปล่าว่า...กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์มีผลในการช่วยปลุกประสาทสัมผัสให้สดชื่นตื่นตัว แถมยังกระตุ้นพลังงานในจิตใจได้เป็นอย่างดี เวลาเครียด ๆ ก็ลองสูดกลิ่นหอมของดอกไม้สิ อย่างกลิ่นกุหลาบ มะลิ ลาเวนเดอร์ หรือจะหยดน้ำมันหอมระเหยในน้ำอุ่นกำลังดี แล้วนอนแช่ตัวให้เพลินสักครึ่งชั่วโมงก็ได้ กลิ่นหอมจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้อย่างบอกไม่ถูกเชียวล่ะ
8. ไปตากอากาศ
หาเวลาหลบไปสูดอากาศบริสุทธิ์กับชีวิตท่ามกลางธรรมชาติสักพัก สิ หายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ ปล่อยสมองให้ว่างที่สุด แล้วก็นอนให้มากที่สุดเท่าที่อยากจะนอน เพราะบางทีความรู้สึกเหนื่อยล้าและหดหู่แบบไม่ทราบสาเหตุเนี่ยมันมาจาก ชีวิตที่ยุ่งเหยิงจนเกินไป เพราะฉะนั้นหลบไปนอนตากน้ำค้างดูดาวเสียบ้าง หัวใจจะได้ชาร์จพลังได้ดีขึ้น
9. หาสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน
ลองหาสัตว์เลี้ยงสักตัวมาเป็นเพื่อนเล่นก็ไม่ เลวนะ เพราะการให้เวลากับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด คุยเล่น หยอกล้อกับมันเสียบ้าง จะช่วยให้จิตใจอันแสนจะฟุ้งซ่าน สงบลงได้ แถมรู้จักการให้และมองโลกในแง่ดีมากขึ้นอีกต่างหาก ที่สำคัญยังช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วยนะ
10. จินตนาการแสนสุข
อีกทางเลือกสำหรับการบรรเทาความหดหู่ในส่วนลึก เป็นการดึงตัวเองออกจากโลกปัจจุบัน ทำได้โดยหลับตาแล้วหายใจลึก ๆ จากนั้นก็สร้างจินตนาการถึงความฝันที่วาดหวังเอาไว้ หรือแม้แต่ความหลังอันแสนสุขที่เคยมีการดึงความสุขจากจินตนาการมาใช้จะ ทำ ให้เกิดพลังสร้างสรรค์ในหัวใจ และยังช่วยสลายความเครียดข้างในได้เป็นอย่างดี ทำแบบนี้เงียบๆ สัก 5 นาที รับรองรู้สึกดีแบบทันตาเห็น
เขียนโดย BKK ที่ 10:49
ที่มา : http://heyhaparty.blogspot.com/2007/10/10_21.html
8 เคล็ด (ไม่ลับ) หลับสบาย
8 เคล็ด (ไม่ลับ) หลับสบาย
คุณมีอาการแบบนี้หรือไม่? ระหว่างนอนรู้สึกว่าสมองยังคงคิดเรื่องต่างๆ อยู่ หลับไม่สนิท ตื่นเป็นระยะ บ่อยครั้งตื่นในตอนเช้าด้วยความงัวเงีย และรู้สึกไม่แจ่มใสไปทั้งวัน นั่นเป็นเพราะคุณกำลังเข้าใกล้วงจรของอาการนอนไม่หลับ
"นอนไม่หลับ" นับเป็นอาการยอดฮิตของหลายๆ คน ที่ส่วนมากเกิดจากความเครียด โดยเฉพาะวัยเรียนและวัยทำงาน ที่กังวลเกี่ยวกับงานและเรื่องต่างๆ มากเกินไป จนกลายเป็นความคิดมาก เครียด และนอนไม่หลับ
บ่อยครั้งในระหว่างวันจะรู้สึกง่วงนอนและอ่อนเพลีย ส่งผลให้การเรียนการทำงานขาดประสิทธิภาพ "เกร็ดน่ารู้" สัปดาห์นี้มี Tips ง่ายๆ ช่วยให้หลับสบายมาฝากกัน
1. ตื่นและนอนให้เป็นเวลา โดยใน 1 วัน ควรนอนให้ได้ 8 ชั่วโมง และทำให้เป็นประจำทุกวัน
2. ฝึกนั่งสมาธิก่อนนอน เพื่อไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่าน
3. วางแผนงานที่จะสะสางในวันพรุ่งนี้ให้เป็นระบบ เพื่อลดการคิดซ้ำซาก
4. อย่ากังวลกับงานจนเกินไป เมื่อถึงเวลานอนก็ควรนอนให้หลับสนิท เพื่อพักสมอง และเตรียมลุยงานในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะเป็นผลดีกับประสิทธิภาพของงาน
5. หากลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำมันหอมระเหยวางในห้อง จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและหลับง่ายขึ้น
6. ดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอน จะช่วยคลายเครียด ผ่อนคลายประสาท
7. หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เนื่องจากมีคาเฟอีนมากระตุ้นทำให้นอนไม่หลับ
8. เปิดเพลงเบาๆ ฟังสบายๆ จะให้ความรู้สึกสงบ
เพราะ...การหลับสนิทเป็นการพักผ่อนที่ช่วยชาร์จพลังที่ดีที่สุด ดังนั้น การสร้างสุขลักษณะการนอนที่ดี รู้จักผ่อนคลายเรื่องเครียดกังวล จะส่งผลดีต่อร่างกาย สติปัญญา และช่วยบอกลาอาการนอนไม่หลับได้
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://hilight.kapook.com/view/30224
คุณมีอาการแบบนี้หรือไม่? ระหว่างนอนรู้สึกว่าสมองยังคงคิดเรื่องต่างๆ อยู่ หลับไม่สนิท ตื่นเป็นระยะ บ่อยครั้งตื่นในตอนเช้าด้วยความงัวเงีย และรู้สึกไม่แจ่มใสไปทั้งวัน นั่นเป็นเพราะคุณกำลังเข้าใกล้วงจรของอาการนอนไม่หลับ
"นอนไม่หลับ" นับเป็นอาการยอดฮิตของหลายๆ คน ที่ส่วนมากเกิดจากความเครียด โดยเฉพาะวัยเรียนและวัยทำงาน ที่กังวลเกี่ยวกับงานและเรื่องต่างๆ มากเกินไป จนกลายเป็นความคิดมาก เครียด และนอนไม่หลับ
บ่อยครั้งในระหว่างวันจะรู้สึกง่วงนอนและอ่อนเพลีย ส่งผลให้การเรียนการทำงานขาดประสิทธิภาพ "เกร็ดน่ารู้" สัปดาห์นี้มี Tips ง่ายๆ ช่วยให้หลับสบายมาฝากกัน
1. ตื่นและนอนให้เป็นเวลา โดยใน 1 วัน ควรนอนให้ได้ 8 ชั่วโมง และทำให้เป็นประจำทุกวัน
2. ฝึกนั่งสมาธิก่อนนอน เพื่อไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่าน
3. วางแผนงานที่จะสะสางในวันพรุ่งนี้ให้เป็นระบบ เพื่อลดการคิดซ้ำซาก
4. อย่ากังวลกับงานจนเกินไป เมื่อถึงเวลานอนก็ควรนอนให้หลับสนิท เพื่อพักสมอง และเตรียมลุยงานในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะเป็นผลดีกับประสิทธิภาพของงาน
5. หากลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำมันหอมระเหยวางในห้อง จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและหลับง่ายขึ้น
6. ดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอน จะช่วยคลายเครียด ผ่อนคลายประสาท
7. หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เนื่องจากมีคาเฟอีนมากระตุ้นทำให้นอนไม่หลับ
8. เปิดเพลงเบาๆ ฟังสบายๆ จะให้ความรู้สึกสงบ
เพราะ...การหลับสนิทเป็นการพักผ่อนที่ช่วยชาร์จพลังที่ดีที่สุด ดังนั้น การสร้างสุขลักษณะการนอนที่ดี รู้จักผ่อนคลายเรื่องเครียดกังวล จะส่งผลดีต่อร่างกาย สติปัญญา และช่วยบอกลาอาการนอนไม่หลับได้
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://hilight.kapook.com/view/30224
ที่ยืนยังมีอยู่...
ที่ยืนยังมีอยู่...
ขอขอบคุณข้อมูลจาก tamdee.net
บทความโดย... ลูกปัด
ภาพประกอบจาก glitter.kapook.com
วันที่อุปสรรคและปัญหาถาโถมมาสู่ชีวิต...
ได้กลายเป็นวันที่ความหวังอับแสง
และเหมือนชีวิตมืดมน...
หลายคนเฝ้าตัดพ้อและคร่ำครวญ
ว่าชีวิตไม่มีหนทางไปไหน... โลกไม่มีที่ให้อยู่
เหมือนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า
แค่ผลักประตูออกไป...
ก็มีถนนมากมายรออยู่ตรงหน้า
มีสิ่งใหม่ในชีวิตอีกร้อยพันอย่างให้เรียนรู้
มีความหวัง... ความฝันมากมายรอให้ไขว่คว้า
มีมือของใครต่อใครอีกมากมาย...
ที่ยื่นมาให้เราเกาะเพื่อลุกขึ้น
มีดวงตะวันดวงใหญ่ที่จะฉายแสงอยู่ในทุกๆ เช้า
อย่างนี้แล้วโลกจะมืดมนตรงไหน...
จะไม่มีทางไปตรงไหน...
โลกไม่มีที่ให้อยู่ตรงไหน...
หรือถ้าโลกไม่มีที่ให้อยู่จริงๆ
ไม่มีที่จะอยู่จริงๆ
ก็อยู่ไปก่อน...
ตรงที่เท้ายืน...
ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/30218
ขอขอบคุณข้อมูลจาก tamdee.net
บทความโดย... ลูกปัด
ภาพประกอบจาก glitter.kapook.com
วันที่อุปสรรคและปัญหาถาโถมมาสู่ชีวิต...
ได้กลายเป็นวันที่ความหวังอับแสง
และเหมือนชีวิตมืดมน...
หลายคนเฝ้าตัดพ้อและคร่ำครวญ
ว่าชีวิตไม่มีหนทางไปไหน... โลกไม่มีที่ให้อยู่
เหมือนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า
แค่ผลักประตูออกไป...
ก็มีถนนมากมายรออยู่ตรงหน้า
มีสิ่งใหม่ในชีวิตอีกร้อยพันอย่างให้เรียนรู้
มีความหวัง... ความฝันมากมายรอให้ไขว่คว้า
มีมือของใครต่อใครอีกมากมาย...
ที่ยื่นมาให้เราเกาะเพื่อลุกขึ้น
มีดวงตะวันดวงใหญ่ที่จะฉายแสงอยู่ในทุกๆ เช้า
อย่างนี้แล้วโลกจะมืดมนตรงไหน...
จะไม่มีทางไปตรงไหน...
โลกไม่มีที่ให้อยู่ตรงไหน...
หรือถ้าโลกไม่มีที่ให้อยู่จริงๆ
ไม่มีที่จะอยู่จริงๆ
ก็อยู่ไปก่อน...
ตรงที่เท้ายืน...
ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/30218
วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2551
เงินสิบบาท
เงินสิบบาท
ถ้าเรามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร?
ครูคนหนึ่งตั้งคำถามกับเด็กว่า 'ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร' เด็กส่วนใหญ่ตอบว่า '7 บาท'
แต่มีเด็ก 2คนที่ตอบไม่เหมือนกับคนอื่น คนหนึ่งตอบว่า '2 บาท' อีกคนหนึ่งตอบว่า 'ไม่ต้องทอน'
ครูถามเด็กคนแรกว่าทำไมถึงได้เงินทอน 2 บาท คำตอบที่ได้ก็คือภาพในใจของเขาสำหรับเงิน 10 บาท คือ เหรียญห้า 2 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ให้เหรียญห้า 1 เหรียญ ดังนั้น จึงได้เงินทอน 2 บาท
ถามเด็กคนที่สองว่าทำไมไม่เหลือเงินทอนเลย
คำตอบก็คือเด็กคนนี้คิดว่าในกระเป๋ามีเหรียญบาท 10 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ส่งเหรียญบาทให้ 3 เหรียญ เพราะฉะนั้น คนขายจึงไม่ต้องทอนเงินให้เขา
โชคดีที่เป็นการถาม-ตอบในห้องเรียน ลองนึกดูสิครับว่าถ้าโจทย์นี้เป็นข้อสอบที่มีคำตอบเป็น ก-ข-ค-ง เด็ก 2 คนนี้ก็คงไม่ได้คะแนนจากคำตอบที่ผิดเพี้ยนจากคนส่วนใหญ่
การสร้างโจทย์ที่ 'เสมือนจริง' จินตนาการของ 'ครู' อาจถูกจำกัดเพียงแค่ 'ตัวเลข' แต่สำหรับเด็ก จินตนาการของเขาไร้กรอบ 10 บาท จึงสามารถเปลี่ยนเป็นเหรียญสิบ เหรียญห้า หรือเหรียญบาท
เมืองไทยมีเหรียญ 2 บาท เราจึงได้คำตอบเพิ่มอีก 1 คำตอบ คือ ได้เงินทอน 1 บาท
โลกในห้องเรียนกับโลกของความเป็นจริงนั้นแตกต่างกัน โลกในห้องเรียน ทุกคำถามส่วนใหญ่มีเพียง 1 คำตอบ แต่โลกของความเป็นจริง ทุกคำถามอาจมีคำตอบที่ถูกต้องได้เกิน 1 คำตอบ
'อย่ารีบตัดสินความผิดถูกของคนๆ นั้น เพียงแค่ คำตอบ ของเรา'
อย่าหยุดความคิดสร้างสรรของคนๆ นั้น ด้วยกรอบความคิดของเรา
ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/11222.html
ถ้าเรามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร?
ครูคนหนึ่งตั้งคำถามกับเด็กว่า 'ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร' เด็กส่วนใหญ่ตอบว่า '7 บาท'
แต่มีเด็ก 2คนที่ตอบไม่เหมือนกับคนอื่น คนหนึ่งตอบว่า '2 บาท' อีกคนหนึ่งตอบว่า 'ไม่ต้องทอน'
ครูถามเด็กคนแรกว่าทำไมถึงได้เงินทอน 2 บาท คำตอบที่ได้ก็คือภาพในใจของเขาสำหรับเงิน 10 บาท คือ เหรียญห้า 2 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ให้เหรียญห้า 1 เหรียญ ดังนั้น จึงได้เงินทอน 2 บาท
ถามเด็กคนที่สองว่าทำไมไม่เหลือเงินทอนเลย
คำตอบก็คือเด็กคนนี้คิดว่าในกระเป๋ามีเหรียญบาท 10 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ส่งเหรียญบาทให้ 3 เหรียญ เพราะฉะนั้น คนขายจึงไม่ต้องทอนเงินให้เขา
โชคดีที่เป็นการถาม-ตอบในห้องเรียน ลองนึกดูสิครับว่าถ้าโจทย์นี้เป็นข้อสอบที่มีคำตอบเป็น ก-ข-ค-ง เด็ก 2 คนนี้ก็คงไม่ได้คะแนนจากคำตอบที่ผิดเพี้ยนจากคนส่วนใหญ่
การสร้างโจทย์ที่ 'เสมือนจริง' จินตนาการของ 'ครู' อาจถูกจำกัดเพียงแค่ 'ตัวเลข' แต่สำหรับเด็ก จินตนาการของเขาไร้กรอบ 10 บาท จึงสามารถเปลี่ยนเป็นเหรียญสิบ เหรียญห้า หรือเหรียญบาท
เมืองไทยมีเหรียญ 2 บาท เราจึงได้คำตอบเพิ่มอีก 1 คำตอบ คือ ได้เงินทอน 1 บาท
โลกในห้องเรียนกับโลกของความเป็นจริงนั้นแตกต่างกัน โลกในห้องเรียน ทุกคำถามส่วนใหญ่มีเพียง 1 คำตอบ แต่โลกของความเป็นจริง ทุกคำถามอาจมีคำตอบที่ถูกต้องได้เกิน 1 คำตอบ
'อย่ารีบตัดสินความผิดถูกของคนๆ นั้น เพียงแค่ คำตอบ ของเรา'
อย่าหยุดความคิดสร้างสรรของคนๆ นั้น ด้วยกรอบความคิดของเรา
ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/11222.html
เพื่อนตั้งแต่ a-z (A-Z The (Friend) Series)
เพื่อนตั้งแต่ a-z
A-Z The (Friend) Series
มีหลายสิ่งที่คุณรู้สึกได้ ในมิตรภาพที่ไร้ข้อจำกัดของความเป็นพื่อน ความผูกพันเหล่านั้นถูกถ่ายทอดผ่านตัวอักษรเพื่อบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ที่แสนจะพิเศษของทุกๆคนที่มีเพื่อน
คุณขาดข้อไหนหรือเปล่า
Always be homest , would you want them to lie to you?
จงซื่อสัตย์เสมอ...... คุณต้องการให้เพื่อนโกหกคุณเหรอ
Be there when they need you, or you may wind up alone
จงอยู่เคียงข้างเมื่อเขาต้องการ.....หรือคุณต้องการจะอยู่คนเดียว
Cheer them on, wi all need encouragement now and then
ให้กำลังใจ......เราทุกคนต่างก็ต้องการการสนับสนุนเป็นบางครั้ง
Don't look for their faults, even if you have none
อย่ามองหาข้อผิดพลาดของเขา.....แม้ว่าคุณจะไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่ข้อเดียว
Encourage their dreams, what would we be without them?
สนับสนุนให้เขาทำตามความฝัน.......เราจะอยู่อย่างปราศจากความฝันได้อย่างไร
Forgive them, you just may do somethin wrong sometime
ให้อภัย ....คุณอาจจะเคยทำผิดพลาดในบางเวลา
Get together often, misery loves company, so does glee
เจอกันบ่อยๆ...... เมื่อมีความทุกข์ ต้องมีเพื่อนเพราะการคบค้าสมาคมทำให้เกิดความสนุกสนาน
Have faith in them, the human animal is remarkable
มีศรัทธาในเพื่อน.....การมีศรัทธาเป็นสิ่งที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากสิ่งมีชีวิตอื่น
Include them, you mayneed to be included sometime
รวมเขาเข้าไปด้วย......คุณก็อาจจะต้องการถูกรวมบ้างบางครั้ง
Just be there when they need you
อยู่ข้างๆ.......เมื่อเขาต้องการคุณ
know when they need a hug, and couldn't you use one?
รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาต้องการให้กอด...เคยกอดเพื่อนบ้างหรือยัง
Love them unconditionally, that is the only condition
รักโดยไร้ข้อแม้........นี่เป็นเพียงเงื่อนไขข้อเดียวเท่านั้น
Make them feel spicial, because aren't we all special?
ทำให้เขารู้สึกเป็นคนพิเศษ.. เพราะเราทุกคนก็เป็นคนพิเศษไม่ใช่เหรอ ?
Never forget them, who wants to feel forgotten
อย่าลืมเพื่อน........ ใครบ้างอยากถูกลืม
Offer to help, and know when " Nothanks" is just politeness
เสนอตัวที่จะช่วยเหลือ......และควรรู้ว่าเมื่อไหร่ที่คำว่า "ไม่เป็นไร ขอบคุณ "เป็นคำพูดแค่เพื่อมารยาท
Praise them honesly and openly
ยกย่องเพื่อนอย่างจริงใจ และเปิดเผย
Quietly desagree, noisy No's make enemies
อย่าโต้แย้งอย่างโจ่งแจ้ง........การทำเช่นนั้นก่อให้เกิดศัตรู
Really listen, a friendly ear is a soothing balm
ตั้งใจรับฟัง.......การรับฟังของเพื่อนคือยารักษาอาการ
Say you're sorry, don't let them assume it
กล่าวคำขอโทษ.......อย่าปล่อยให้เพื่อนต้องสันนิษฐานเอาเอง
Talk frequently, connunication is important
พูดคุยกันบ่อยๆ ........การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญ
Use good judgement
ใช้ข้อตัดสินที่ดี
Verbalsise your feelings
อธิบายความรู้สึกของคุณเป็นคำพูด
Wish them luck, hopeftlly good
อวยพรให้โชคดี ..........หวังว่าเขาจะพบแต่เรื่องดี
Xamine your motives before you "help" out
ตรวจสอบเจตนาของคุณ ก่อนที่จะขอความช่วยเหลือ
Your words count, use them wisely
คำพูดของคุณมีค่า ......จงใช้อย่างชาญฉลาด
Zip your lips when they told a secret
ปิดปากให้สนิทเมื่อเพื่อนบอกความลับ
สิ่งสำคัญสุดท้าย
--เพื่อน คือ ศัตรูที่รู้ใจ--
ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/11206.html
A-Z The (Friend) Series
มีหลายสิ่งที่คุณรู้สึกได้ ในมิตรภาพที่ไร้ข้อจำกัดของความเป็นพื่อน ความผูกพันเหล่านั้นถูกถ่ายทอดผ่านตัวอักษรเพื่อบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ที่แสนจะพิเศษของทุกๆคนที่มีเพื่อน
คุณขาดข้อไหนหรือเปล่า
Always be homest , would you want them to lie to you?
จงซื่อสัตย์เสมอ...... คุณต้องการให้เพื่อนโกหกคุณเหรอ
Be there when they need you, or you may wind up alone
จงอยู่เคียงข้างเมื่อเขาต้องการ.....หรือคุณต้องการจะอยู่คนเดียว
Cheer them on, wi all need encouragement now and then
ให้กำลังใจ......เราทุกคนต่างก็ต้องการการสนับสนุนเป็นบางครั้ง
Don't look for their faults, even if you have none
อย่ามองหาข้อผิดพลาดของเขา.....แม้ว่าคุณจะไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่ข้อเดียว
Encourage their dreams, what would we be without them?
สนับสนุนให้เขาทำตามความฝัน.......เราจะอยู่อย่างปราศจากความฝันได้อย่างไร
Forgive them, you just may do somethin wrong sometime
ให้อภัย ....คุณอาจจะเคยทำผิดพลาดในบางเวลา
Get together often, misery loves company, so does glee
เจอกันบ่อยๆ...... เมื่อมีความทุกข์ ต้องมีเพื่อนเพราะการคบค้าสมาคมทำให้เกิดความสนุกสนาน
Have faith in them, the human animal is remarkable
มีศรัทธาในเพื่อน.....การมีศรัทธาเป็นสิ่งที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากสิ่งมีชีวิตอื่น
Include them, you mayneed to be included sometime
รวมเขาเข้าไปด้วย......คุณก็อาจจะต้องการถูกรวมบ้างบางครั้ง
Just be there when they need you
อยู่ข้างๆ.......เมื่อเขาต้องการคุณ
know when they need a hug, and couldn't you use one?
รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาต้องการให้กอด...เคยกอดเพื่อนบ้างหรือยัง
Love them unconditionally, that is the only condition
รักโดยไร้ข้อแม้........นี่เป็นเพียงเงื่อนไขข้อเดียวเท่านั้น
Make them feel spicial, because aren't we all special?
ทำให้เขารู้สึกเป็นคนพิเศษ.. เพราะเราทุกคนก็เป็นคนพิเศษไม่ใช่เหรอ ?
Never forget them, who wants to feel forgotten
อย่าลืมเพื่อน........ ใครบ้างอยากถูกลืม
Offer to help, and know when " Nothanks" is just politeness
เสนอตัวที่จะช่วยเหลือ......และควรรู้ว่าเมื่อไหร่ที่คำว่า "ไม่เป็นไร ขอบคุณ "เป็นคำพูดแค่เพื่อมารยาท
Praise them honesly and openly
ยกย่องเพื่อนอย่างจริงใจ และเปิดเผย
Quietly desagree, noisy No's make enemies
อย่าโต้แย้งอย่างโจ่งแจ้ง........การทำเช่นนั้นก่อให้เกิดศัตรู
Really listen, a friendly ear is a soothing balm
ตั้งใจรับฟัง.......การรับฟังของเพื่อนคือยารักษาอาการ
Say you're sorry, don't let them assume it
กล่าวคำขอโทษ.......อย่าปล่อยให้เพื่อนต้องสันนิษฐานเอาเอง
Talk frequently, connunication is important
พูดคุยกันบ่อยๆ ........การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญ
Use good judgement
ใช้ข้อตัดสินที่ดี
Verbalsise your feelings
อธิบายความรู้สึกของคุณเป็นคำพูด
Wish them luck, hopeftlly good
อวยพรให้โชคดี ..........หวังว่าเขาจะพบแต่เรื่องดี
Xamine your motives before you "help" out
ตรวจสอบเจตนาของคุณ ก่อนที่จะขอความช่วยเหลือ
Your words count, use them wisely
คำพูดของคุณมีค่า ......จงใช้อย่างชาญฉลาด
Zip your lips when they told a secret
ปิดปากให้สนิทเมื่อเพื่อนบอกความลับ
สิ่งสำคัญสุดท้าย
--เพื่อน คือ ศัตรูที่รู้ใจ--
ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/11206.html
จิตวิทยา : ความฝัน
จิตวิทยา : ความฝัน
ความฝัน คือประสบการณ์ของภาพ เสียง ข้อความ ความคิด หรือความรู้สึกในขณะที่กำลังนอนหลับ โดยผู้ที่ฝันส่วนใหญ่ไม่สามารถควบคุมได้
ความฝันมักจะเต็มไปด้วยความคิดในด้านต่างๆ ซึ่งความฝันสามารถเกิดได้ตั้งแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสังคมจนถึงเรื่องเหลือเชื่อ รวมไปถึงเรื่องสนุกสนาน เรื่องตื่นเต้น เรื่องน่ากลัว เรื่องเศร้า ที่เรียกว่าฝันร้าย และในบางครั้งความฝันจะมีเหตุการณ์เกี่ยวกับเรื่องทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งมีผลต่อเนื่องอาจทำให้เกิดอาการฝันเปียกในผู้ชาย หลายๆครั้งที่ความฝันเป็นตัวกระตุ้นความรู้สึกทั้งทางด้านจิตใจและทางด้านศิลปะให้แก่ผู้ที่ฝัน
นักวิทยาศาสตร์ได้มีการศึกษาความฝันโดยอ้างอิงกับการเคลื่อนไหวของดวงตาขณะนอนหลับ (rapid eye movement, REM) การกระตุ้นของต่อมponsส่วนประกอบส่วนหนึ่งของก้านสมอง หรือการเปลี่ยนแปลงของการเต้นของหัวใจ
นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า คนทุกคนเฉลี่ยแล้วจะมีความฝันในปริมาณที่เท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าบางคนจะรู้สึกว่าไม่ได้ฝันหรือนานๆทีจะได้มีความฝัน นั่นเพราะสาเหตุที่ว่าความฝันของบุคคลนั้นจางหายไปเมื่อตื่นนอน ความฝันมักจะเลือนหายถ้าสถานะของการฝันของบุคคลนั้นค่อยๆเปลี่ยนจาก สถานะอาร์อีเอม เป็นสถานะเดลต้า และตื่นนอน ในทางกลับกันถ้าบุคคลนั้นตื่นขึ้นขณะที่อยู่สถานะอาร์อีเอม (เช่นตื่นโดยนาฬิกาปลุก) บุคคลนั้นมักจะจำเรื่องที่ฝันได้ อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกความฝันที่จะถูกจำได้
ความฝันในสิ่งมีชีวิตอื่น
การวิจัยค้นพบว่าสัตว์ได้มีความฝันเช่นเกียวกับมนุษย์ โดยเมื่อสัตว์หลับอยู่ในสถานะอาร์อีเอม สัตว์จะมีความฝันเกิดขึ้น (ถึงแม้ว่าจะไม่มีการระบุเป็นรูปธรรมว่าสัตว์ฝันถึงเรื่องใด) สัตว์ที่มีระยะของสถานะอาร์อีเอมนานที่สุดคือ อาร์มาดิลโลสัตว์ชนิดหนึ่งมีลักษณะคล้ายตัวตุ่น สัตว์ที่มีความฝันบ่อยสุดคือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและสัตว์ประเภทนก อาจเนื่องมาจากลักษณะรูปแบบในการนอน กบเป็นสัตว์ไม่มีการนอนหลับยกเว้นในช่วงเวลาจำศีล ได้มีการทดสอบความฝันของแมวว่า แมวมักจะฝันถึงการล่าเหยื่อโดยอ้างอิงจากลักษณะการเคลื่อนไหวของขาและร่างกาย ในขณะที่สุนัขได้มีการเคลื่อนไหวของช่วงขาในลักษณะของการวิ่งรวมถึงการเห่าในขณะที่นอนหลับ
ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=64&post_id=1275763&order_reply=0
ความฝัน คือประสบการณ์ของภาพ เสียง ข้อความ ความคิด หรือความรู้สึกในขณะที่กำลังนอนหลับ โดยผู้ที่ฝันส่วนใหญ่ไม่สามารถควบคุมได้
ความฝันมักจะเต็มไปด้วยความคิดในด้านต่างๆ ซึ่งความฝันสามารถเกิดได้ตั้งแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสังคมจนถึงเรื่องเหลือเชื่อ รวมไปถึงเรื่องสนุกสนาน เรื่องตื่นเต้น เรื่องน่ากลัว เรื่องเศร้า ที่เรียกว่าฝันร้าย และในบางครั้งความฝันจะมีเหตุการณ์เกี่ยวกับเรื่องทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งมีผลต่อเนื่องอาจทำให้เกิดอาการฝันเปียกในผู้ชาย หลายๆครั้งที่ความฝันเป็นตัวกระตุ้นความรู้สึกทั้งทางด้านจิตใจและทางด้านศิลปะให้แก่ผู้ที่ฝัน
นักวิทยาศาสตร์ได้มีการศึกษาความฝันโดยอ้างอิงกับการเคลื่อนไหวของดวงตาขณะนอนหลับ (rapid eye movement, REM) การกระตุ้นของต่อมponsส่วนประกอบส่วนหนึ่งของก้านสมอง หรือการเปลี่ยนแปลงของการเต้นของหัวใจ
นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า คนทุกคนเฉลี่ยแล้วจะมีความฝันในปริมาณที่เท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าบางคนจะรู้สึกว่าไม่ได้ฝันหรือนานๆทีจะได้มีความฝัน นั่นเพราะสาเหตุที่ว่าความฝันของบุคคลนั้นจางหายไปเมื่อตื่นนอน ความฝันมักจะเลือนหายถ้าสถานะของการฝันของบุคคลนั้นค่อยๆเปลี่ยนจาก สถานะอาร์อีเอม เป็นสถานะเดลต้า และตื่นนอน ในทางกลับกันถ้าบุคคลนั้นตื่นขึ้นขณะที่อยู่สถานะอาร์อีเอม (เช่นตื่นโดยนาฬิกาปลุก) บุคคลนั้นมักจะจำเรื่องที่ฝันได้ อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกความฝันที่จะถูกจำได้
ความฝันในสิ่งมีชีวิตอื่น
การวิจัยค้นพบว่าสัตว์ได้มีความฝันเช่นเกียวกับมนุษย์ โดยเมื่อสัตว์หลับอยู่ในสถานะอาร์อีเอม สัตว์จะมีความฝันเกิดขึ้น (ถึงแม้ว่าจะไม่มีการระบุเป็นรูปธรรมว่าสัตว์ฝันถึงเรื่องใด) สัตว์ที่มีระยะของสถานะอาร์อีเอมนานที่สุดคือ อาร์มาดิลโลสัตว์ชนิดหนึ่งมีลักษณะคล้ายตัวตุ่น สัตว์ที่มีความฝันบ่อยสุดคือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและสัตว์ประเภทนก อาจเนื่องมาจากลักษณะรูปแบบในการนอน กบเป็นสัตว์ไม่มีการนอนหลับยกเว้นในช่วงเวลาจำศีล ได้มีการทดสอบความฝันของแมวว่า แมวมักจะฝันถึงการล่าเหยื่อโดยอ้างอิงจากลักษณะการเคลื่อนไหวของขาและร่างกาย ในขณะที่สุนัขได้มีการเคลื่อนไหวของช่วงขาในลักษณะของการวิ่งรวมถึงการเห่าในขณะที่นอนหลับ
ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=64&post_id=1275763&order_reply=0
อยากรู้ไปโม้ด : นินจา
อยากรู้ไปโม้ด : นินจา
สวัสดีครับน้าชาติ
อยากจะขอรบกวนน้าชาติให้ช่วยหาประวัติและข้อมูลเรื่องราวต่างๆ แบบเจาะลึกของสายลับมหาประลัยนินจา
ภราดร ไฝทอง
ตอบ ภราดร
นินจา หรือ ชิโนบิ (นินจาหญิงเรียก คุโนะ อิจิ) แปลว่า ผู้คงทน ได้ชื่อเป็น กลุ่มนักฆ่า หรือสปาย ในช่วงเปลี่ยน การปกครองของญี่ปุ่น คำว่านินจาสันนิษฐานว่าเริ่มใช้ประมาณ 800 ปีก่อน หมายถึงบุคคลที่อยู่ในภูเขาและฝึกฝนนินจุตสุ คือวิชาต่อสู้เกี่ยวกับการขโมยและการล่องหน โดยคำว่านินเดิมหมายถึงคงทน ก่อนเพิ่มเติมให้หมายถึง การซ่อนตัวและการขโมย จา หมายถึง บุคคล ส่วนภาษาจีนขานนามนินจาว่า หลินกุ้ย คือ ปีศาจในป่า
นินจาถูกเปรียบเทียบกับซามูไรว่า ขณะที่ซามูไรคือนักสู้ที่ต่อสู้เบื้องหน้า นินจาเป็นนักสู้ที่ต่อสู้ลับหลัง อย่างไรก็ตาม ก่อนจะมีภาพเป็นนักฆ่าซัดอาวุธดาวกระจายอย่างในภาพยนตร์ เชื่อกันว่านินจาเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ฝึกฝนในกลุ่มนักบวช เผยแพร่จากจีนมาญี่ปุ่นราว ค.ศ.522 โดยเบื้องแรกกลุ่มนักบวชไม่ใช้วิชาเพื่อความรุนแรง กระทั่ง ค.ศ.645 จึงนำวิชาการต่อสู้มาใช้ หลังจากถูกกดขี่บีบคั้นจากรัฐบาลกลางให้ปกป้องตนเอง ในสมัยเฮอันที่เกิดการต่อสู้ชิงอำนาจกันระหว่างตระกูลเพื่อโค่นล้มราชสำนัก ตระกูลใหญ่ๆ ต้องการนักฆ่ามืออาชีพที่ทำงานหาข่าวและลอบสังหารฝ่ายตรงข้าม ทำให้คนที่ฝึกวิชาการต่อสู้เป็นที่ต้องการสูงมาก นินจาผงาดตั้งแต่บัดนั้น
ว่ากันว่าการสืบเสาะค้นหาประวัติศาสตร์ของนินจาเป็นเรื่องไม่ง่าย เพราะ "ผู้คงทนจอมซ่อนตัว" ไม่เคยทิ้งร่องรอยไว้ และไม่คุยโวถึงผลงาน ทำให้งานหรือชีวประวัติของนินจาถูกเก็บเป็นความลับ ยากหาข้อเท็จจริง มีเพียงเรื่องในตำนานต่างๆ ที่เล่าไว้หลากหลาย ที่โด่งดังที่สุดคือเรื่องพระชาวจีนรูปหนึ่งเป็นผู้ฝึกวิชาให้มินาโมโตะ โนะ โยชิซึเนะ
โทงะคุเระ ริว กล่าวถึงนินจาในช่วงปลายยุคเฮอันว่า แบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายหลัก คือ อิงะ และโคงะ ต่อสู้กัน ต่อมาในช่วงยุคเซนโงกุ (หรือที่รู้จักกันว่าเป็นยุคสงคราม) ไดเมียวที่มีชื่อเสียงทุกคนมีนินจาอยู่ภายใต้การปกครองสำหรับการเป็นสปายแอบสืบข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม และไดเมียวบางคนก็ถูกกล่าวว่าเป็นนินจาเอง ยุคเดียวกันมีเรื่องราวกล่าวถึงผลงานฮัตโตริ ฮันโซ หัวหน้ากลุ่มนินจาฝ่ายอิงะ นำทางโทกุงาวะ อิเอยาสุ หลบหนีจากช่องเขานาระภายหลังลอบโจมตีทัพของโอดะ โนบุนางะ และที่สุดอิเอยาสุก็ได้ชัยในสงคราม ขึ้นตั้งตัวเป็นโชกุน
ทั้งยังมีเรื่อง ซานาดะ ยูคิมูระ หัวหน้ากลุ่มซานาดะ ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มนินจา หลังจากเขานำกลุ่มทหารเพียง 3,000 นายปกป้องปราสาท โดยสู้กับกองทัพ 50,000 ของโทกุงาวะ ฮิเดทาดะ
200 ปีหลังช่วงเวลาของตระกูลโทกุงาวะ ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดเกิด ขึ้น ทำให้ไม่มีการสืบต่อวิชานินจา เป็นแต่เพียงการสืบต่อแบบปากต่อปากระหว่างคนสนิทเท่านั้น จนยุคเอโดะนินจากลับมาเป็นที่นิยม แต่ไม่ใช่ในความเป็นจริง หากบันทึกอยู่ในหนังสือและการแสดงต่างๆ ที่สรรเอาวิชานินจามาโชว์ ทั้งการล่องหน กระโดดสูง ท่องมนต์ และเรียกกบยักษ์มาช่วยสู้ สารพัดสารพันถูกสร้างขึ้นในยุคนี้เพื่อความบันเทิง
อาวุธของนินจาเป็นอาวุธที่ซ่อนไว้ หลักๆ มี โบะ คือกระบอง นินจาเคน คือดาบนินจาซึ่งเล็กกว่าคะตานะของซามูไร และชูริเคน คือคมมีดปล่อยจากมือ หรือเรียกดาวกระจาย เป็นอาวุธสำหรับขว้าง มีตั้งแต่ชนิด 4 แฉกถึง 8 แฉก คมกริบ ชูริเคนไม่ได้ถูกสร้างเพื่อใช้เป็นอาวุธโจมตี แต่เป็นเครื่องมือเบี่ยงเบนความสนใจของคู่ต่อสู้
ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=64&post_id=1277221&order_reply=0
สวัสดีครับน้าชาติ
อยากจะขอรบกวนน้าชาติให้ช่วยหาประวัติและข้อมูลเรื่องราวต่างๆ แบบเจาะลึกของสายลับมหาประลัยนินจา
ภราดร ไฝทอง
ตอบ ภราดร
นินจา หรือ ชิโนบิ (นินจาหญิงเรียก คุโนะ อิจิ) แปลว่า ผู้คงทน ได้ชื่อเป็น กลุ่มนักฆ่า หรือสปาย ในช่วงเปลี่ยน การปกครองของญี่ปุ่น คำว่านินจาสันนิษฐานว่าเริ่มใช้ประมาณ 800 ปีก่อน หมายถึงบุคคลที่อยู่ในภูเขาและฝึกฝนนินจุตสุ คือวิชาต่อสู้เกี่ยวกับการขโมยและการล่องหน โดยคำว่านินเดิมหมายถึงคงทน ก่อนเพิ่มเติมให้หมายถึง การซ่อนตัวและการขโมย จา หมายถึง บุคคล ส่วนภาษาจีนขานนามนินจาว่า หลินกุ้ย คือ ปีศาจในป่า
นินจาถูกเปรียบเทียบกับซามูไรว่า ขณะที่ซามูไรคือนักสู้ที่ต่อสู้เบื้องหน้า นินจาเป็นนักสู้ที่ต่อสู้ลับหลัง อย่างไรก็ตาม ก่อนจะมีภาพเป็นนักฆ่าซัดอาวุธดาวกระจายอย่างในภาพยนตร์ เชื่อกันว่านินจาเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ฝึกฝนในกลุ่มนักบวช เผยแพร่จากจีนมาญี่ปุ่นราว ค.ศ.522 โดยเบื้องแรกกลุ่มนักบวชไม่ใช้วิชาเพื่อความรุนแรง กระทั่ง ค.ศ.645 จึงนำวิชาการต่อสู้มาใช้ หลังจากถูกกดขี่บีบคั้นจากรัฐบาลกลางให้ปกป้องตนเอง ในสมัยเฮอันที่เกิดการต่อสู้ชิงอำนาจกันระหว่างตระกูลเพื่อโค่นล้มราชสำนัก ตระกูลใหญ่ๆ ต้องการนักฆ่ามืออาชีพที่ทำงานหาข่าวและลอบสังหารฝ่ายตรงข้าม ทำให้คนที่ฝึกวิชาการต่อสู้เป็นที่ต้องการสูงมาก นินจาผงาดตั้งแต่บัดนั้น
ว่ากันว่าการสืบเสาะค้นหาประวัติศาสตร์ของนินจาเป็นเรื่องไม่ง่าย เพราะ "ผู้คงทนจอมซ่อนตัว" ไม่เคยทิ้งร่องรอยไว้ และไม่คุยโวถึงผลงาน ทำให้งานหรือชีวประวัติของนินจาถูกเก็บเป็นความลับ ยากหาข้อเท็จจริง มีเพียงเรื่องในตำนานต่างๆ ที่เล่าไว้หลากหลาย ที่โด่งดังที่สุดคือเรื่องพระชาวจีนรูปหนึ่งเป็นผู้ฝึกวิชาให้มินาโมโตะ โนะ โยชิซึเนะ
โทงะคุเระ ริว กล่าวถึงนินจาในช่วงปลายยุคเฮอันว่า แบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายหลัก คือ อิงะ และโคงะ ต่อสู้กัน ต่อมาในช่วงยุคเซนโงกุ (หรือที่รู้จักกันว่าเป็นยุคสงคราม) ไดเมียวที่มีชื่อเสียงทุกคนมีนินจาอยู่ภายใต้การปกครองสำหรับการเป็นสปายแอบสืบข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม และไดเมียวบางคนก็ถูกกล่าวว่าเป็นนินจาเอง ยุคเดียวกันมีเรื่องราวกล่าวถึงผลงานฮัตโตริ ฮันโซ หัวหน้ากลุ่มนินจาฝ่ายอิงะ นำทางโทกุงาวะ อิเอยาสุ หลบหนีจากช่องเขานาระภายหลังลอบโจมตีทัพของโอดะ โนบุนางะ และที่สุดอิเอยาสุก็ได้ชัยในสงคราม ขึ้นตั้งตัวเป็นโชกุน
ทั้งยังมีเรื่อง ซานาดะ ยูคิมูระ หัวหน้ากลุ่มซานาดะ ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มนินจา หลังจากเขานำกลุ่มทหารเพียง 3,000 นายปกป้องปราสาท โดยสู้กับกองทัพ 50,000 ของโทกุงาวะ ฮิเดทาดะ
200 ปีหลังช่วงเวลาของตระกูลโทกุงาวะ ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดเกิด ขึ้น ทำให้ไม่มีการสืบต่อวิชานินจา เป็นแต่เพียงการสืบต่อแบบปากต่อปากระหว่างคนสนิทเท่านั้น จนยุคเอโดะนินจากลับมาเป็นที่นิยม แต่ไม่ใช่ในความเป็นจริง หากบันทึกอยู่ในหนังสือและการแสดงต่างๆ ที่สรรเอาวิชานินจามาโชว์ ทั้งการล่องหน กระโดดสูง ท่องมนต์ และเรียกกบยักษ์มาช่วยสู้ สารพัดสารพันถูกสร้างขึ้นในยุคนี้เพื่อความบันเทิง
อาวุธของนินจาเป็นอาวุธที่ซ่อนไว้ หลักๆ มี โบะ คือกระบอง นินจาเคน คือดาบนินจาซึ่งเล็กกว่าคะตานะของซามูไร และชูริเคน คือคมมีดปล่อยจากมือ หรือเรียกดาวกระจาย เป็นอาวุธสำหรับขว้าง มีตั้งแต่ชนิด 4 แฉกถึง 8 แฉก คมกริบ ชูริเคนไม่ได้ถูกสร้างเพื่อใช้เป็นอาวุธโจมตี แต่เป็นเครื่องมือเบี่ยงเบนความสนใจของคู่ต่อสู้
ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=64&post_id=1277221&order_reply=0
วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2551
ถ้าท่าน...
ถ้าท่าน...
ถ้าเคยอ่านแล้วก็ขอโทษด้วยนะ
...ถ้าท่านทำตัวแข่งกับสังคม ทางแห่งความล่มจมกำลังตามมา
...ถ้าท่านทำงานเห็นแก่หน้า ท่านจะพบกับปัญหาเรื่อยไป
...ถ้าท่านทำตัวเห็นแก่ได้ ท่านอย่าหวังน้ำใจจากเพื่อนฝูง
...ถ้าท่านกลัวจนเกินไป ท่านจะทำอะไรไม่ได้ความ
...ถ้าท่านกล้าจนเกินงาม ท่านจะพบกับความเดือดร้อน
...ถ้าท่านขาดความพอดี ท่านจะเป็นหนี้เขาตลอดกาล
...ถ้าท่านหวังแต่ความสนุก ท่านจะเป็นทุกข์มหาศาล
...ถ้าท่านขาดความยั้งคิด ชีวิตทั้งชีวิตจะหมดความหมาย.
..ถ้าท่านทำใจให้สงบ ท่านจะพบกับความสุขที่เยือกเย็น
ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=122&post_id=1272893&order_reply=0
ถ้าเคยอ่านแล้วก็ขอโทษด้วยนะ
...ถ้าท่านทำตัวแข่งกับสังคม ทางแห่งความล่มจมกำลังตามมา
...ถ้าท่านทำงานเห็นแก่หน้า ท่านจะพบกับปัญหาเรื่อยไป
...ถ้าท่านทำตัวเห็นแก่ได้ ท่านอย่าหวังน้ำใจจากเพื่อนฝูง
...ถ้าท่านกลัวจนเกินไป ท่านจะทำอะไรไม่ได้ความ
...ถ้าท่านกล้าจนเกินงาม ท่านจะพบกับความเดือดร้อน
...ถ้าท่านขาดความพอดี ท่านจะเป็นหนี้เขาตลอดกาล
...ถ้าท่านหวังแต่ความสนุก ท่านจะเป็นทุกข์มหาศาล
...ถ้าท่านขาดความยั้งคิด ชีวิตทั้งชีวิตจะหมดความหมาย.
..ถ้าท่านทำใจให้สงบ ท่านจะพบกับความสุขที่เยือกเย็น
ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=122&post_id=1272893&order_reply=0
ข้อคิดดี ดี แบบ ฮา ๆ กับ ตึง ตึ่ง ตึ้ง ตึ๊ง ตึ๋ง
ข้อคิดดี ดี แบบ ฮา ๆ กับ ตึง ตึ่ง ตึ้ง ตึ๊ง ตึ๋ง
- เวลารถติด เลนอื่นมักไปได้เร็วกว่าเลนเราเสมอ
- ถ้าเราขับรถไม่ทันไฟเขียวเป็นคันสุดท้าย
ให้คิดว่าเดี๋ยวเราจะได้ไปเป็นคันแรก
- ถ้ามีการแนะนำตัวว่า 'นี่เพื่อนฉัน' หมายความว่า 'แฟนฉัน'
- ถ้ามีการแนะนำตัวว่า 'นี่แฟนฉัน' หมายความว่า 'ผัว/เมียฉัน'
* มนุษย์ต้องการสิ่งที่ตนเองไม่มี
* แฟนของคนอื่นมักจะสวยกว่าแฟนของตัวเอง
* เวลาที่เราวิ่งมารับโทรศัพท์จากที่ไกลๆ เมื่อถึงโทรศัพท์
เสียงมันมักจะหยุด เราจะช้าไป 1 จังหวะเสมอ
* ถ้าแอบรักใครอย่าฝากใครไปบอก บอกด้วยตัวเองจะดีกว่า
* เวลาสั่งอาหารไว้นานแล้วยังไม่ได้สักทีให้พูดว่าไม่เอาจะ
ได้เร็ว
* ถ้าเรียกเก็บเงินแล้วไม่มีใครมาเก็บเสียที ให้ลุกขึ้นทำท่า
จะกลับทั้งโต๊ะ จะมีพนักงานพุ่งมาทันที
* ปลูกต้นลั่นทมไว้หน้าบ้านไม่เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ระทมของตัวเราเลย
* ระวังคนขายโรตี ที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าละเมาะ, พุ่งไม้,
ซอกตึก,อย่าตัดสินใจซื้อจนกว่าเขาจะล้างมือ
* ไม่มีสัจจะในร้านตัดเสื้อ
* ระวังคน ที่แสดงออกว่าเป็นคนดีมากๆ
* อย่าซื้อทุเรียนมาปอกเอง
* หนังสือดีคือหนังสือที่เราชอบอ่าน, หนังดีคือหนังที่เราชอบดู
* อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เรานินทามากๆ อย่าลืมย้ำบ่อยๆ
ว่าอย่าบอกใครนะ
* อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว
คนล้างจะเสียความรู้สึก
* เรียกยามว่าซีเคียวรีตี้ การ์ด ยามจะตั้งใจโบกรถ
* อย่าซื้ออะไรที่ต้องเอามาซ่อมต่อ
* รถในเมืองไทยพวงมาลัยอยู่ทางขวา
แต่ฝาน้ำมันไม่อยู่ขวาเสมอไป
* ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนไม่ต้องเอายาสีฟันไปก็ได้
ยังไงเพื่อนต้องมี
* อย่าเข้าใกล้หมาตอนกินข้าว
* ตลาด อตก. มาจากคำว่า เอเวอรี่ติง เกินราคา
* เวลาดูหนังโรง ควรจำว่ากระปุกน้ำอยู่ด้านไหน
* ตัดผมวันพุธได้ ไม่บาป
* คนไม่กินเนื้อไม่ได้แปลว่าเป็นดีเสมอไป
* เวลาบ้วนน้ำยาลิสเตอรีน ออกจากปากให้หลับตาด้วย
* ปูอัด มันทำจากปลา
* กระเพาะปลามันทำมาจากหนังหมู
* กินก๋วยเตี๋ยวจากตะเกียบไม้อร่อยกว่า
* อย่าไปจ่ายตลาดเวลาหิว เราจะซื้อมาเยอะเกินจำเป็นเสมอ
* ในโลกนี้จะชอบมีคนมาทักอยู่ 2 ประเภทเท่านั้น ประเภทแรก
อ้วนขึ้นนะ กับประเภทที่ 2ผอมลงนะ ไม่มีใครเข้ามาทักว่า
ปกติดีนี่ไปทำอะไรมา
* คนที่เอาหมวกตำรวจหรือชุดตำรวจแขวนไว้หลังรถมิใช่เพราะ
บ้านเขาไม่มีตู้ เขาไม่ได้ลืม เค้าแค่กลัวคนไม่รู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร
* คนที่มีรถทะเบียนเลขเดียวเรียงติดกันหลายๆตัว
เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา
* คนที่มีความรู้มากๆ เขามักจะใช้ความรู้ขังจินตนาการ
* ฟู่ฟ่าเดี๋ยวก็วาย เรียบง่ายอยู่ได้นาน
* จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา
* เวลาที่เปิดหนังสือให้เพื่อนดูหน้าที่ตัวเองพูดถึง
มักจะหาไม่เจอ
* ขนมและน้ำในโรงหนัง จะแพงกว่าข้างนอก
* ห้องน้ำผู้หญิง ผู้ชายเข้าไปดูเป็นพวกโรคจิต,
ห้องน้ำผู้ชายผู้หญิงเข้ามาดูเป็นแม่บ้าน
อ่านดูน๊า
ไปเจอมาเลยไปก๊อบมาหั๊ยอ่าน^^
ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=122&post_id=1276264&order_reply=0
- เวลารถติด เลนอื่นมักไปได้เร็วกว่าเลนเราเสมอ
- ถ้าเราขับรถไม่ทันไฟเขียวเป็นคันสุดท้าย
ให้คิดว่าเดี๋ยวเราจะได้ไปเป็นคันแรก
- ถ้ามีการแนะนำตัวว่า 'นี่เพื่อนฉัน' หมายความว่า 'แฟนฉัน'
- ถ้ามีการแนะนำตัวว่า 'นี่แฟนฉัน' หมายความว่า 'ผัว/เมียฉัน'
* มนุษย์ต้องการสิ่งที่ตนเองไม่มี
* แฟนของคนอื่นมักจะสวยกว่าแฟนของตัวเอง
* เวลาที่เราวิ่งมารับโทรศัพท์จากที่ไกลๆ เมื่อถึงโทรศัพท์
เสียงมันมักจะหยุด เราจะช้าไป 1 จังหวะเสมอ
* ถ้าแอบรักใครอย่าฝากใครไปบอก บอกด้วยตัวเองจะดีกว่า
* เวลาสั่งอาหารไว้นานแล้วยังไม่ได้สักทีให้พูดว่าไม่เอาจะ
ได้เร็ว
* ถ้าเรียกเก็บเงินแล้วไม่มีใครมาเก็บเสียที ให้ลุกขึ้นทำท่า
จะกลับทั้งโต๊ะ จะมีพนักงานพุ่งมาทันที
* ปลูกต้นลั่นทมไว้หน้าบ้านไม่เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ระทมของตัวเราเลย
* ระวังคนขายโรตี ที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าละเมาะ, พุ่งไม้,
ซอกตึก,อย่าตัดสินใจซื้อจนกว่าเขาจะล้างมือ
* ไม่มีสัจจะในร้านตัดเสื้อ
* ระวังคน ที่แสดงออกว่าเป็นคนดีมากๆ
* อย่าซื้อทุเรียนมาปอกเอง
* หนังสือดีคือหนังสือที่เราชอบอ่าน, หนังดีคือหนังที่เราชอบดู
* อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เรานินทามากๆ อย่าลืมย้ำบ่อยๆ
ว่าอย่าบอกใครนะ
* อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว
คนล้างจะเสียความรู้สึก
* เรียกยามว่าซีเคียวรีตี้ การ์ด ยามจะตั้งใจโบกรถ
* อย่าซื้ออะไรที่ต้องเอามาซ่อมต่อ
* รถในเมืองไทยพวงมาลัยอยู่ทางขวา
แต่ฝาน้ำมันไม่อยู่ขวาเสมอไป
* ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนไม่ต้องเอายาสีฟันไปก็ได้
ยังไงเพื่อนต้องมี
* อย่าเข้าใกล้หมาตอนกินข้าว
* ตลาด อตก. มาจากคำว่า เอเวอรี่ติง เกินราคา
* เวลาดูหนังโรง ควรจำว่ากระปุกน้ำอยู่ด้านไหน
* ตัดผมวันพุธได้ ไม่บาป
* คนไม่กินเนื้อไม่ได้แปลว่าเป็นดีเสมอไป
* เวลาบ้วนน้ำยาลิสเตอรีน ออกจากปากให้หลับตาด้วย
* ปูอัด มันทำจากปลา
* กระเพาะปลามันทำมาจากหนังหมู
* กินก๋วยเตี๋ยวจากตะเกียบไม้อร่อยกว่า
* อย่าไปจ่ายตลาดเวลาหิว เราจะซื้อมาเยอะเกินจำเป็นเสมอ
* ในโลกนี้จะชอบมีคนมาทักอยู่ 2 ประเภทเท่านั้น ประเภทแรก
อ้วนขึ้นนะ กับประเภทที่ 2ผอมลงนะ ไม่มีใครเข้ามาทักว่า
ปกติดีนี่ไปทำอะไรมา
* คนที่เอาหมวกตำรวจหรือชุดตำรวจแขวนไว้หลังรถมิใช่เพราะ
บ้านเขาไม่มีตู้ เขาไม่ได้ลืม เค้าแค่กลัวคนไม่รู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร
* คนที่มีรถทะเบียนเลขเดียวเรียงติดกันหลายๆตัว
เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา
* คนที่มีความรู้มากๆ เขามักจะใช้ความรู้ขังจินตนาการ
* ฟู่ฟ่าเดี๋ยวก็วาย เรียบง่ายอยู่ได้นาน
* จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา
* เวลาที่เปิดหนังสือให้เพื่อนดูหน้าที่ตัวเองพูดถึง
มักจะหาไม่เจอ
* ขนมและน้ำในโรงหนัง จะแพงกว่าข้างนอก
* ห้องน้ำผู้หญิง ผู้ชายเข้าไปดูเป็นพวกโรคจิต,
ห้องน้ำผู้ชายผู้หญิงเข้ามาดูเป็นแม่บ้าน
อ่านดูน๊า
ไปเจอมาเลยไปก๊อบมาหั๊ยอ่าน^^
ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=122&post_id=1276264&order_reply=0
สร้าง ‘สมาธิ’ จากนิสัย
สร้าง ‘สมาธิ’ จากนิสัย
สมาธิเป็นพื้นฐานสำคัญของการทำกิจกรรมต่างๆ เราจึงมีเกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับการสร้างสมาธิพื้นฐานจากชีวิตประจำวันมาฝาก ซึ่งวัยเรียนและวัยทำงานสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ เพื่อช่วยควบคุมความสนใจ การรับรู้ ให้จดจ่อต่อสิ่งที่กระทำอยู่อย่างต่อเนื่องจนติดเป็นนิสัย
สร้างความเต็มใจและจริงใจที่จะทำเรื่องนั้นๆ จะช่วยให้เราสนใจในสิ่งเดียว ไม่วอกแวกสนใจเรื่องอื่น
สร้างนิสัย ‘ มุ่งมั่นลงมือทำทันที’ จะฝึกให้เราเป็นคนมีคุณลักษณะที่ดี คือ การควบคุมความสนใจ จดจ่อต่อสิ่งที่กระทำอยู่อย่างต่อเนื่องจนสำเร็จ ซึ่งอีกด้านหนึ่ง การยืดเวลาหรือผัดวันประกันพรุ่ง จะทำให้เบื่อหน่ายกับงานเดิมๆ จนกลายเป็นความเกียจคร้าน ซึ่งเป็นอุปสรรคของการเรียนและการทำงานด้วย
จัดลำดับเรื่องที่จะทำ จะช่วยให้การทำสิ่งนั้นๆ เป็นระบบ และใช้เวลาน้อย ตรงกันข้ามกับการสนใจหลายเรื่องในเวลาเดียวกันจะทำให้ไม่มีสมาธิ
รู้จักแบ่งเวลาพักผ่อน เพื่อผ่อนคลายสมอง และรักษาสภาพจิตใจให้คลายความกังวลในงานนั้นๆ เพราะถ้าเราคร่ำเครงกับสิ่งต่างๆ มากเกินไป จะเป็นอุปสรรคต่อสมาธิ
การหมั่นสร้างนิสัยในชีวิตประจำวันให้มีสมาธินั้น นอกจากจะทำให้จิตใจสงบ มีสติในการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยเตรียมความพร้อม เพื่อการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในทุกๆวันด้วย.
ขอบคุณ ที่มาจาก นสพ.เดลินิวส์
ทีมา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=122&post_id=1277406&order_reply=0
สมาธิเป็นพื้นฐานสำคัญของการทำกิจกรรมต่างๆ เราจึงมีเกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับการสร้างสมาธิพื้นฐานจากชีวิตประจำวันมาฝาก ซึ่งวัยเรียนและวัยทำงานสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ เพื่อช่วยควบคุมความสนใจ การรับรู้ ให้จดจ่อต่อสิ่งที่กระทำอยู่อย่างต่อเนื่องจนติดเป็นนิสัย
สร้างความเต็มใจและจริงใจที่จะทำเรื่องนั้นๆ จะช่วยให้เราสนใจในสิ่งเดียว ไม่วอกแวกสนใจเรื่องอื่น
สร้างนิสัย ‘ มุ่งมั่นลงมือทำทันที’ จะฝึกให้เราเป็นคนมีคุณลักษณะที่ดี คือ การควบคุมความสนใจ จดจ่อต่อสิ่งที่กระทำอยู่อย่างต่อเนื่องจนสำเร็จ ซึ่งอีกด้านหนึ่ง การยืดเวลาหรือผัดวันประกันพรุ่ง จะทำให้เบื่อหน่ายกับงานเดิมๆ จนกลายเป็นความเกียจคร้าน ซึ่งเป็นอุปสรรคของการเรียนและการทำงานด้วย
จัดลำดับเรื่องที่จะทำ จะช่วยให้การทำสิ่งนั้นๆ เป็นระบบ และใช้เวลาน้อย ตรงกันข้ามกับการสนใจหลายเรื่องในเวลาเดียวกันจะทำให้ไม่มีสมาธิ
รู้จักแบ่งเวลาพักผ่อน เพื่อผ่อนคลายสมอง และรักษาสภาพจิตใจให้คลายความกังวลในงานนั้นๆ เพราะถ้าเราคร่ำเครงกับสิ่งต่างๆ มากเกินไป จะเป็นอุปสรรคต่อสมาธิ
การหมั่นสร้างนิสัยในชีวิตประจำวันให้มีสมาธินั้น นอกจากจะทำให้จิตใจสงบ มีสติในการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยเตรียมความพร้อม เพื่อการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในทุกๆวันด้วย.
ขอบคุณ ที่มาจาก นสพ.เดลินิวส์
ทีมา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=122&post_id=1277406&order_reply=0
วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551
สิ่งที่เดินทางมายังไม่ถึง...เรา
สิ่งที่เดินทางมายังไม่ถึง...เรา
ใครหลายคนชอบคิดไปไกลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง... สิ่งที่ยังไม่เกิด
ความคิดนี่แหละ ที่บั่นทอนพละกำลังส่วนหนึ่งของความสุข
ที่ควรจะเกิด ควรจะมี ให้ลดน้อยลงไป
บางขณะ เราน่าจะทำชีวิตให้ดีกว่านั้นได้ง่ายๆ
แต่เพราะความคิด ความกังวล ทำให้สิ่งที่น่าจะง่าย กลายเป็นสิ่งยุ่งยาก
ถ้าความคิดบางอย่าง ยิ่งคิด ยิ่งเศร้า
ยิ่งทำให้กังวล ยิ่งไม่มีความสุข
ยิ่งหวาดกลัววันข้างหน้า ก็อย่าไปคิดมันเลย
แค่ทำวันนี้ให้มีความสุข
ทำให้ดีที่สุดกับเวลานี้ที่มีโอกาสนี้...
บางทีใครจะรู้ว่าอะไรๆ ที่ไปกังวลนั้น อาจจะมาไม่ถึงก็ได้...
ชีวิตอาจไม่ยาวนานถึงขนาดนั้น
ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้ จะตื่นหรือเปล่า
อย่ากังวลกับอะไรที่ยังมาไม่ถึง...
มองวันนี้ ทำวันนี้ มีความสุขกับทุกวินาทีนี้..... ที่ยังหายใจอยู่ดีกว่า
เวลามีพอเสมอสำหรับความสุข
ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์
ชีวิตที่พบความทุกข์ เป็นชีวิตที่แท้...
ไม่มีความทุกข์ก็ไม่มีการเติบโต
ความทุกข์เป็นพลังขับเคลื่อนให้หลายอย่างเกิด
ไม่มีใครไม่มีความทุกข์ เพราะนั่นคือการเป็นชีวิต
ความทุกข์สอนให้แต่ละคนเข้มแข็งในแง่มุมต่างๆ
ถ้าความทุกข์ไม่เข้ามาหา ก็จะไม่รู้ว่าความสุขที่แท้เป็นอย่างไร
ไม่มีความทุกข์ ก็ไม่รู้จักความสุข......
เพราะความทุกข์พิสูจน์ความเป็นคนอ่อนแอ หรือเข้มแข็ง
ความทุกข์เป็นสิ่งท้าทายความสามารถ.....
ต่างจากความสุข ที่ทำให้อ่อนแอ มองโลกง่ายๆ แคบๆ
ความสุขเหมือนฝนพรำสาย อ่อนโยน งดงาม บางเบา แต่ว่างเปล่า
ไม่มีการเรียนรู้ใดในความสุข.......
เมื่อใดที่มีความทุกข์ ควรยิ้มรับและคิดว่าโชคดีที่ได้เจอความทุกข์
ได้เรียนรู้การแก้ปัญหา ได้สงบ ได้สติ ได้ความนิ่ง
ได้รู้จักโลก รู้จักตัวเองรู้จักการเติบโตทุกๆ ก้าว
ให้กำลังใจตัวเองมากๆ บอกตัวเองว่าโชคดีที่วันนี้มีความทุกข์
เพราะเมื่อผ่านความทุกข์ ความสุขก็จะรออยู่เบื้องหน้า...
จงใช้ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้กับชีวิต
มีคนมากมายที่กังวลกับอนาคต
แต่เขายังไม่เคยมองปัจจุบันเลยว่าทำอะไรอยู่
...และเมื่อตัวคนเดียวกำลังใจจากตัวเองนี่แหละ ที่จะทำให้เรามีแรงเดินต่อไป
เป็นเรื่องยากที่จะทำได้ แต่ถ้าทำได้คุณจะพบความสุขแบบที่ไม่ต้องพึ่งพาใครเลย...
ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1171300
ใครหลายคนชอบคิดไปไกลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง... สิ่งที่ยังไม่เกิด
ความคิดนี่แหละ ที่บั่นทอนพละกำลังส่วนหนึ่งของความสุข
ที่ควรจะเกิด ควรจะมี ให้ลดน้อยลงไป
บางขณะ เราน่าจะทำชีวิตให้ดีกว่านั้นได้ง่ายๆ
แต่เพราะความคิด ความกังวล ทำให้สิ่งที่น่าจะง่าย กลายเป็นสิ่งยุ่งยาก
ถ้าความคิดบางอย่าง ยิ่งคิด ยิ่งเศร้า
ยิ่งทำให้กังวล ยิ่งไม่มีความสุข
ยิ่งหวาดกลัววันข้างหน้า ก็อย่าไปคิดมันเลย
แค่ทำวันนี้ให้มีความสุข
ทำให้ดีที่สุดกับเวลานี้ที่มีโอกาสนี้...
บางทีใครจะรู้ว่าอะไรๆ ที่ไปกังวลนั้น อาจจะมาไม่ถึงก็ได้...
ชีวิตอาจไม่ยาวนานถึงขนาดนั้น
ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้ จะตื่นหรือเปล่า
อย่ากังวลกับอะไรที่ยังมาไม่ถึง...
มองวันนี้ ทำวันนี้ มีความสุขกับทุกวินาทีนี้..... ที่ยังหายใจอยู่ดีกว่า
เวลามีพอเสมอสำหรับความสุข
ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์
ชีวิตที่พบความทุกข์ เป็นชีวิตที่แท้...
ไม่มีความทุกข์ก็ไม่มีการเติบโต
ความทุกข์เป็นพลังขับเคลื่อนให้หลายอย่างเกิด
ไม่มีใครไม่มีความทุกข์ เพราะนั่นคือการเป็นชีวิต
ความทุกข์สอนให้แต่ละคนเข้มแข็งในแง่มุมต่างๆ
ถ้าความทุกข์ไม่เข้ามาหา ก็จะไม่รู้ว่าความสุขที่แท้เป็นอย่างไร
ไม่มีความทุกข์ ก็ไม่รู้จักความสุข......
เพราะความทุกข์พิสูจน์ความเป็นคนอ่อนแอ หรือเข้มแข็ง
ความทุกข์เป็นสิ่งท้าทายความสามารถ.....
ต่างจากความสุข ที่ทำให้อ่อนแอ มองโลกง่ายๆ แคบๆ
ความสุขเหมือนฝนพรำสาย อ่อนโยน งดงาม บางเบา แต่ว่างเปล่า
ไม่มีการเรียนรู้ใดในความสุข.......
เมื่อใดที่มีความทุกข์ ควรยิ้มรับและคิดว่าโชคดีที่ได้เจอความทุกข์
ได้เรียนรู้การแก้ปัญหา ได้สงบ ได้สติ ได้ความนิ่ง
ได้รู้จักโลก รู้จักตัวเองรู้จักการเติบโตทุกๆ ก้าว
ให้กำลังใจตัวเองมากๆ บอกตัวเองว่าโชคดีที่วันนี้มีความทุกข์
เพราะเมื่อผ่านความทุกข์ ความสุขก็จะรออยู่เบื้องหน้า...
จงใช้ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้กับชีวิต
มีคนมากมายที่กังวลกับอนาคต
แต่เขายังไม่เคยมองปัจจุบันเลยว่าทำอะไรอยู่
...และเมื่อตัวคนเดียวกำลังใจจากตัวเองนี่แหละ ที่จะทำให้เรามีแรงเดินต่อไป
เป็นเรื่องยากที่จะทำได้ แต่ถ้าทำได้คุณจะพบความสุขแบบที่ไม่ต้องพึ่งพาใครเลย...
ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1171300
เมื่อมีน้ำตา...ไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอ
เมื่อมีน้ำตา...ไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอ
คนเรา... อย่าพยายามกักเก็บน้ำตา
ถ้ารู้ว่ามันเกินจะกั้นไว้ได้
ไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่เคยร้องไห้
แม้กระทั้ง วันแรกที่ลืมตาดูโลก
ก็ต่างร้องไห้ด้วยกันทั้งนั้น...
เมื่อมีน้ำตา
นั่นไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอ
แต่บางทีอะไรที่มันมากเกินไป เกินกว่าที่จะรับไว้
ก็จำเป็นที่ต้องระบายออกมาบ้าง
ดีใจมาก... เสียใจมาก... ตื้นตันมาก
ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เราเสียน้ำตาได้ทั้งนั้น
เพียงแต่อย่าฝืนตัวเอง ต้องยอมรับความรู้สึกของตัวเอง
อย่าปิดกั้นความอ่อนแอ... ของตัวเอง
ถ้าอยากร้องไห้ ก็ร้องซะให้หายอึดอัด
ร้องให้ไม่เหลือน้ำตาให้ไหล ร้องให้สบายใจ
เพียงแต่อย่าฝืนตัวเอง ต้องยอมรับความรู้สึกของตัวเอง
ร้องไห้... ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย
เรากล้าที่จะร้องไห้ คือ คนที่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง
ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองกำลังเป็น...
เพราะคนที่เสียใจแล้วไม่ร้องไห้ ไม่ระบายออกมา
นานๆ ไปอาจจะทำให้มีความเศร้าอยู่ลึกๆ
อึดอัดอยู่ข้างใน หรือบางคนอาจจะเป็นคนเก็บกดไปเลยก็เป็นได้
แล้วเลือกที่จะระบายออกมาเลยไม่ดีกว่าหรือ
อย่าพยายามอดกลั้นที่จะร้องไห้
ปล่อยให้น้ำตามันไหลออก จนกว่าจะสบายใจ
และ... เมื่อน้ำตาเหือดแห้งไป
เราจะได้ความเข้มแข็งกลับมาให้ตัวเรา...
และสามารถลุกขึ้นสู้ต่อไปได้...
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ
และเมื่อท้อแ้ท้ก็อย่าท้อถอยนะคะ
ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1171381
คนเรา... อย่าพยายามกักเก็บน้ำตา
ถ้ารู้ว่ามันเกินจะกั้นไว้ได้
ไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่เคยร้องไห้
แม้กระทั้ง วันแรกที่ลืมตาดูโลก
ก็ต่างร้องไห้ด้วยกันทั้งนั้น...
เมื่อมีน้ำตา
นั่นไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอ
แต่บางทีอะไรที่มันมากเกินไป เกินกว่าที่จะรับไว้
ก็จำเป็นที่ต้องระบายออกมาบ้าง
ดีใจมาก... เสียใจมาก... ตื้นตันมาก
ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เราเสียน้ำตาได้ทั้งนั้น
เพียงแต่อย่าฝืนตัวเอง ต้องยอมรับความรู้สึกของตัวเอง
อย่าปิดกั้นความอ่อนแอ... ของตัวเอง
ถ้าอยากร้องไห้ ก็ร้องซะให้หายอึดอัด
ร้องให้ไม่เหลือน้ำตาให้ไหล ร้องให้สบายใจ
เพียงแต่อย่าฝืนตัวเอง ต้องยอมรับความรู้สึกของตัวเอง
ร้องไห้... ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย
เรากล้าที่จะร้องไห้ คือ คนที่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง
ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองกำลังเป็น...
เพราะคนที่เสียใจแล้วไม่ร้องไห้ ไม่ระบายออกมา
นานๆ ไปอาจจะทำให้มีความเศร้าอยู่ลึกๆ
อึดอัดอยู่ข้างใน หรือบางคนอาจจะเป็นคนเก็บกดไปเลยก็เป็นได้
แล้วเลือกที่จะระบายออกมาเลยไม่ดีกว่าหรือ
อย่าพยายามอดกลั้นที่จะร้องไห้
ปล่อยให้น้ำตามันไหลออก จนกว่าจะสบายใจ
และ... เมื่อน้ำตาเหือดแห้งไป
เราจะได้ความเข้มแข็งกลับมาให้ตัวเรา...
และสามารถลุกขึ้นสู้ต่อไปได้...
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ
และเมื่อท้อแ้ท้ก็อย่าท้อถอยนะคะ
ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1171381
ขยะความคิด – ขยะอารมณ์
ขยะความคิด – ขยะอารมณ์
สิ่งที่ไม่ดี... ไม่สวยงาม...
ที่เราใช้แล้ว...ชำรุด ... ทรุดโทรม... ใช้การไม่ได้อีกต่อไป...
เรียกว่า... "ขยะ"
ถ้าพูดถึงขยะ
หลายคนคงเข้าใจดีแล้วว่า...
ในขยะที่เหลือใช้แล้ว... ที่คนส่วนใหญ่นำไปทิ้ง
เพราะเห็นว่า "ไม่มีคุณค่า – ไม่มีประโยชน์"
แต่ในสิ่งที่เรามองเห็นว่า...
ไม่มีคุณค่า - ไม่มีประโยชน์ สำหรับเรา
อาจมีคุณค่า... สำหรับผู้เก็บของเก่า...
ซึ่งสามารถแปรเปลี่ยนเป็นเงินได้...
แต่สำหรับขยะทางความคิด...
และขยะทางอารมณ์นั้น
…หามีประโยชน์แต่อย่างใดไม่
ยิ่งกลับจะเป็นอันตราย... ทั้งต่อตนเองและคนรอบข้างด้วย
เพราะผู้ที่ชอบเก็บสะสมขยะทางความคิด... ขยะทางอารมณ์
เมื่อเก็บสะสมไว้มากๆ
ก็จะทำให้เกิดมะเร็งร้ายในจิตใจ – ในอารมณ์ความรู้สึกได้
เราจึงไม่ควรที่จะเก็บหรือรักษาสิ่งเหล่านั้นไว้ในจิตใจเลย
…แต่สมควรอย่างยิ่ง
…ที่จะหมั่นตรวจ หมั่นเก็บกวาด
นำขยะทางความคิด - ขยะทางอารมณ์... ออกไปทิ้งเสียโดยพลัน
เพราะขยะทางความคิด
ได้แก่... ความคิดที่ไม่ดี... ไม่ถูกต้อง... ไม่ดีงาม
ผิดจากทำนองคลองธรรม... เป็นมิจฉาทิฎฐิ (เห็นผิด)
คิดในแง่ร้าย... ชอบมองแง่ลบ
มีความคิดเห็นเชิงลบ... ไม่สร้างสรรค์
คิดสิ่งที่ไม่ก่อประโยชน์... ให้โทษแก่ตนเองและผู้อื่น
สิ่งเหล่านี้ถือว่า...
เป็นขยะทางความคิด..
ซึ่งถ้าสะสมไว้มากๆ
ก็จะก่อตัวเป็นมะเร็งร้ายทางความคิดได้
และจะทำให้จิตใจขุ่นมัว... มืดมน
ทำลายสติปัญญา... เกิดความโง่เขลาทางจิตใจ
ส่วนขยะทางอารมณ์...
ได้แก่... อารมณ์โลภ โกรธ หลง อิจฉา - ริษยา
อารมณ์เบื่อ... อารมณ์เซ็ง...
อารมณ์เหงา... อารมณ์เศร้า... และอื่นๆ อีกมากมาย
ถือว่า... เป็นขยะทางอารมณ์
ถ้าใครมีมาก สะสมไว้มาก ไม่ยอมสละออก
ก็จะทำให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ตามมา
ที่เราเรียกว่า... "มะเร็งร้ายทางอารมณ์"
ที่จะค่อยๆ กัดกร่อนทำร้ายจิตใจของเราทุกๆ ขณะ
ที่อารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในจิตใจเรา
คนเรามีขยะทางความคิด – ทางอารมณ์เหมือนกันทุกคน
แต่แตกต่างกันที่ว่า...
เมื่อขยะทางความคิด – ขยะทางอารมณ์เกิดขึ้น
เราจะมีวิธีการนำขยะเหล่านั้นออกจากจิตใจได้อย่างไร ???
การเรียนรู้ที่จะนำขยะทางความคิด - ทางอารมณ์ออกจากจิตใจ
สามารถทำได้ง่ายๆ ก็คือ...
...ไม่ยอมเก็บ...
...ไม่ยอมสะสม...
ดังนั้น ทุกครั้งที่ขยะทางความคิด – ขยะทางอารมณ์เกิดขึ้น
เราต้องรีบปฏิเสธโต้กลับมันทันที
คือ... ไม่ยอมรับ ไม่สะสม ไม่เก็บ
และรู้เท่าทันมันอย่างเข้าใจ
ก็จะสามารถสละมันออกจากจิตใจได้
ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/30057
สิ่งที่ไม่ดี... ไม่สวยงาม...
ที่เราใช้แล้ว...ชำรุด ... ทรุดโทรม... ใช้การไม่ได้อีกต่อไป...
เรียกว่า... "ขยะ"
ถ้าพูดถึงขยะ
หลายคนคงเข้าใจดีแล้วว่า...
ในขยะที่เหลือใช้แล้ว... ที่คนส่วนใหญ่นำไปทิ้ง
เพราะเห็นว่า "ไม่มีคุณค่า – ไม่มีประโยชน์"
แต่ในสิ่งที่เรามองเห็นว่า...
ไม่มีคุณค่า - ไม่มีประโยชน์ สำหรับเรา
อาจมีคุณค่า... สำหรับผู้เก็บของเก่า...
ซึ่งสามารถแปรเปลี่ยนเป็นเงินได้...
แต่สำหรับขยะทางความคิด...
และขยะทางอารมณ์นั้น
…หามีประโยชน์แต่อย่างใดไม่
ยิ่งกลับจะเป็นอันตราย... ทั้งต่อตนเองและคนรอบข้างด้วย
เพราะผู้ที่ชอบเก็บสะสมขยะทางความคิด... ขยะทางอารมณ์
เมื่อเก็บสะสมไว้มากๆ
ก็จะทำให้เกิดมะเร็งร้ายในจิตใจ – ในอารมณ์ความรู้สึกได้
เราจึงไม่ควรที่จะเก็บหรือรักษาสิ่งเหล่านั้นไว้ในจิตใจเลย
…แต่สมควรอย่างยิ่ง
…ที่จะหมั่นตรวจ หมั่นเก็บกวาด
นำขยะทางความคิด - ขยะทางอารมณ์... ออกไปทิ้งเสียโดยพลัน
เพราะขยะทางความคิด
ได้แก่... ความคิดที่ไม่ดี... ไม่ถูกต้อง... ไม่ดีงาม
ผิดจากทำนองคลองธรรม... เป็นมิจฉาทิฎฐิ (เห็นผิด)
คิดในแง่ร้าย... ชอบมองแง่ลบ
มีความคิดเห็นเชิงลบ... ไม่สร้างสรรค์
คิดสิ่งที่ไม่ก่อประโยชน์... ให้โทษแก่ตนเองและผู้อื่น
สิ่งเหล่านี้ถือว่า...
เป็นขยะทางความคิด..
ซึ่งถ้าสะสมไว้มากๆ
ก็จะก่อตัวเป็นมะเร็งร้ายทางความคิดได้
และจะทำให้จิตใจขุ่นมัว... มืดมน
ทำลายสติปัญญา... เกิดความโง่เขลาทางจิตใจ
ส่วนขยะทางอารมณ์...
ได้แก่... อารมณ์โลภ โกรธ หลง อิจฉา - ริษยา
อารมณ์เบื่อ... อารมณ์เซ็ง...
อารมณ์เหงา... อารมณ์เศร้า... และอื่นๆ อีกมากมาย
ถือว่า... เป็นขยะทางอารมณ์
ถ้าใครมีมาก สะสมไว้มาก ไม่ยอมสละออก
ก็จะทำให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ตามมา
ที่เราเรียกว่า... "มะเร็งร้ายทางอารมณ์"
ที่จะค่อยๆ กัดกร่อนทำร้ายจิตใจของเราทุกๆ ขณะ
ที่อารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในจิตใจเรา
คนเรามีขยะทางความคิด – ทางอารมณ์เหมือนกันทุกคน
แต่แตกต่างกันที่ว่า...
เมื่อขยะทางความคิด – ขยะทางอารมณ์เกิดขึ้น
เราจะมีวิธีการนำขยะเหล่านั้นออกจากจิตใจได้อย่างไร ???
การเรียนรู้ที่จะนำขยะทางความคิด - ทางอารมณ์ออกจากจิตใจ
สามารถทำได้ง่ายๆ ก็คือ...
...ไม่ยอมเก็บ...
...ไม่ยอมสะสม...
ดังนั้น ทุกครั้งที่ขยะทางความคิด – ขยะทางอารมณ์เกิดขึ้น
เราต้องรีบปฏิเสธโต้กลับมันทันที
คือ... ไม่ยอมรับ ไม่สะสม ไม่เก็บ
และรู้เท่าทันมันอย่างเข้าใจ
ก็จะสามารถสละมันออกจากจิตใจได้
ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/30057
ความเหงา... ทำให้รักเราแข็งแรง
ความเหงา... ทำให้รักเราแข็งแรง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก forward mail
ภาพประกอบจาก glitter.kapook.com
แม้ไม่ได้เจอกันทุกวัน
แต่ก็ไม่ได้เป็นเหตุผลให้ฉันมีคนใหม่
แม้เธอจะไม่โรแมนติกเท่าใครๆ
แต่ก็ไม่ได้เป็นเหตุผลไม่ให้รักเธอ
แม้บางครั้งความห่างจะทำให้เหงา
แต่รักเราก็ยังแข็งแรงเสมอ
เพราะ "รัก" ไม่ได้วัดจากจำนวนครั้งที่เจอ
แต่วัดจากความเอาใจใส่ที่เธอมีให้มา
จึงต้องขอบคุณความเหงา
ที่ทำให้ระหว่างเรา... ยิ่งเพิ่มคุณค่า
ขอบคุณความไกล ที่ช่วยพิสูจน์อะไรๆ ในเวลา
โดยอย่างน้อยก็พิสูจน์ว่า... รักยังคงเดิม
ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/30067
ขอขอบคุณข้อมูลจาก forward mail
ภาพประกอบจาก glitter.kapook.com
แม้ไม่ได้เจอกันทุกวัน
แต่ก็ไม่ได้เป็นเหตุผลให้ฉันมีคนใหม่
แม้เธอจะไม่โรแมนติกเท่าใครๆ
แต่ก็ไม่ได้เป็นเหตุผลไม่ให้รักเธอ
แม้บางครั้งความห่างจะทำให้เหงา
แต่รักเราก็ยังแข็งแรงเสมอ
เพราะ "รัก" ไม่ได้วัดจากจำนวนครั้งที่เจอ
แต่วัดจากความเอาใจใส่ที่เธอมีให้มา
จึงต้องขอบคุณความเหงา
ที่ทำให้ระหว่างเรา... ยิ่งเพิ่มคุณค่า
ขอบคุณความไกล ที่ช่วยพิสูจน์อะไรๆ ในเวลา
โดยอย่างน้อยก็พิสูจน์ว่า... รักยังคงเดิม
ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/30067
วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2551
พัฒนาสมองง่ายๆ ด้วย... Search ผ่าน Internet
พัฒนาสมองง่ายๆ ด้วย... Search ผ่าน Internet
สวัสดีคร๊าบ ทุกๆคน วันนี้ นาย ปอ เจ้าเก่าคนเดิม กลับมารับหน้าที่ คอลัมน์นิสต์ การศึกษาอีกแว้ว โดยวันนี้ ขอนำเสนอ บทความน่ารู้เกี่ยวกับ ทำอย่างไรให้ความจำ หรือ สมองของเราดีขึ้น....ก่อนอื่นต้องขอถามก่อนว่า เคยรู้สึกกันบ้างไหม ? ว่าเดี๋ยวนี้ เริ่มขี้หลงขี้ลืม จำนู่นจำนี่ไม่ค่อยได้ (แต่ถ้า หนี้ ไม่จำอ่ะ ดีแล้ว หุหุ ) นายปอ คนนี้ เป็นบ่อยมากๆ บางที ถือกุญแจรถอยู่ที่มือแท้ๆ ยังลืมเลยว่าไม่ได้หยิบมาจากบนโต๊ะ กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็หากันทั่วห้องกันเลยทีเดียว
แต่ รู้หรือไม่ ? ว่าเราสามารถพัฒนาสมองของเราได้ง่ายๆ เพียง อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ นี่แหล่ะ เอ๊ะ ยังไงเนี่ย อยู่หน้าคอมเฉยๆเนี่ยนะ ? รู้น๊า ว่าหลายคน คงรู้สึกและเกิดคำถามแบบนี้ในใจแน่ๆ
ถ้าอยู่เฉยๆ หน้าคอมโดยไม่ทำอะไรเลย มันก็ไม่เป็นการพัฒนาอะไรหรอกครับ แต่ถ้าเรา ค้นหาข้อมูลต่างๆที่เราสนใจ จาก Internet เท่านั้นแหล่ะ สมองเราพัฒนาแน่นอน ถ้าไม่เชื่อ ตามมาดูเลย
นักวิทยาศาสตร์จาก UCLA ได้ค้นพบว่า ผู้ใหญ่วัยกลางคนหรือสูงกว่า ที่มีความสามารถในการใช้อินเทอร์เน็ตค้นหาข้อมูล สามารถช่วยกระตุ้นและปรับปรุงประสิทธิภาพ การทำงานของสมองให้สูงขึ้น งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ใน Journal of Geriatric Psychiatry
นักวิจัยได้ใช้อาสาสมัครจำนวน 24 คน ที่มีอายุระหว่าง 55 ถึง 76 ปี ซึ่งครึ่งหนึ่งของอาสาสมัคร มีประสบการณ์ในการค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตมาบ้างแล้ว ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่เหลือ ไม่เคยมีประสบการณ์ในการค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตมาก่อนเลย
นักวิจัยได้ให้อาสาสมัคร ค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตและอ่านหนังสือ ซึ่งในระหว่างนั้นมีการใช้เครื่อง fMRI (functional Magnetic Resonance) ในการวัดความเปลี่ยนแปลงของสมองในระหว่างการทำงาน
จากผลการทดลอง อาสาสมัครที่มีประสบการณ์ ในการค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต จะมีการกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมการตัดสินใจ และสมองส่วนที่ควบคุมการใช้เหตุผลที่ซับซ้อน มากกว่าการอ่านหนังสือ
จริงๆแล้ว เรื่องนี้น่าจะสื่อให้เห็นถึง ความรู้นั้นไม่ได้มีอยู่แต่ในตำรา เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ในทุกหนทุกแห่ง การค้นหาข้อมูลจากในอินเตอร์เน็ตซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งที่มีข้อมูลที่เราสนใจมากมาย เก็บไว้ การค้นหาข้อมูลเหล่านี้ จึงเป็นการเติม อาหารสมองให้แก่เรานั่นเอง
พี่ปอขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://jusci.net
ที่มา : http://www.dek-d.com/content/view.php?id=11477
สวัสดีคร๊าบ ทุกๆคน วันนี้ นาย ปอ เจ้าเก่าคนเดิม กลับมารับหน้าที่ คอลัมน์นิสต์ การศึกษาอีกแว้ว โดยวันนี้ ขอนำเสนอ บทความน่ารู้เกี่ยวกับ ทำอย่างไรให้ความจำ หรือ สมองของเราดีขึ้น....ก่อนอื่นต้องขอถามก่อนว่า เคยรู้สึกกันบ้างไหม ? ว่าเดี๋ยวนี้ เริ่มขี้หลงขี้ลืม จำนู่นจำนี่ไม่ค่อยได้ (แต่ถ้า หนี้ ไม่จำอ่ะ ดีแล้ว หุหุ ) นายปอ คนนี้ เป็นบ่อยมากๆ บางที ถือกุญแจรถอยู่ที่มือแท้ๆ ยังลืมเลยว่าไม่ได้หยิบมาจากบนโต๊ะ กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็หากันทั่วห้องกันเลยทีเดียว
แต่ รู้หรือไม่ ? ว่าเราสามารถพัฒนาสมองของเราได้ง่ายๆ เพียง อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ นี่แหล่ะ เอ๊ะ ยังไงเนี่ย อยู่หน้าคอมเฉยๆเนี่ยนะ ? รู้น๊า ว่าหลายคน คงรู้สึกและเกิดคำถามแบบนี้ในใจแน่ๆ
ถ้าอยู่เฉยๆ หน้าคอมโดยไม่ทำอะไรเลย มันก็ไม่เป็นการพัฒนาอะไรหรอกครับ แต่ถ้าเรา ค้นหาข้อมูลต่างๆที่เราสนใจ จาก Internet เท่านั้นแหล่ะ สมองเราพัฒนาแน่นอน ถ้าไม่เชื่อ ตามมาดูเลย
นักวิทยาศาสตร์จาก UCLA ได้ค้นพบว่า ผู้ใหญ่วัยกลางคนหรือสูงกว่า ที่มีความสามารถในการใช้อินเทอร์เน็ตค้นหาข้อมูล สามารถช่วยกระตุ้นและปรับปรุงประสิทธิภาพ การทำงานของสมองให้สูงขึ้น งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ใน Journal of Geriatric Psychiatry
นักวิจัยได้ใช้อาสาสมัครจำนวน 24 คน ที่มีอายุระหว่าง 55 ถึง 76 ปี ซึ่งครึ่งหนึ่งของอาสาสมัคร มีประสบการณ์ในการค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตมาบ้างแล้ว ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่เหลือ ไม่เคยมีประสบการณ์ในการค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตมาก่อนเลย
นักวิจัยได้ให้อาสาสมัคร ค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตและอ่านหนังสือ ซึ่งในระหว่างนั้นมีการใช้เครื่อง fMRI (functional Magnetic Resonance) ในการวัดความเปลี่ยนแปลงของสมองในระหว่างการทำงาน
จากผลการทดลอง อาสาสมัครที่มีประสบการณ์ ในการค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต จะมีการกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมการตัดสินใจ และสมองส่วนที่ควบคุมการใช้เหตุผลที่ซับซ้อน มากกว่าการอ่านหนังสือ
จริงๆแล้ว เรื่องนี้น่าจะสื่อให้เห็นถึง ความรู้นั้นไม่ได้มีอยู่แต่ในตำรา เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ในทุกหนทุกแห่ง การค้นหาข้อมูลจากในอินเตอร์เน็ตซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งที่มีข้อมูลที่เราสนใจมากมาย เก็บไว้ การค้นหาข้อมูลเหล่านี้ จึงเป็นการเติม อาหารสมองให้แก่เรานั่นเอง
พี่ปอขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://jusci.net
ที่มา : http://www.dek-d.com/content/view.php?id=11477
แรงบันดาลใจสิ่งสำคัญของวัยรุ่น
แรงบันดาลใจ
แรงบันดาลใจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา อาจจะเกิดขึ้นจากสิ่งเล็กๆน้อยที่อยู่รอบตัวเรา หรือ อาจเป็นผลงานทางศิลปะ ที่ศิลปินชื่อก้องโลก คนใดคนหนึ่งสร้างสรรค์เอาไว้
อยู่ที่ว่า คุณจะมองเห็นแรงบันดาลใจที่ซ่อนอยู่ตามที่ต่างๆได้หรือไม่
แรงบันดาลใจ เป็นเชื้อไฟชั้นดีที่เผาผลาญให้เกิดกองไฟแห่งความคิดใหม่ๆ
เป็นตัวจุดประกายความพยายามในการทำสิ่งต่างๆ จุดเปลี่ยนเล็กๆนี้จะกลายเป็นเรื่องราวยิ่งใหญ่ได้หากคุณพบเจอกับแรงบันดาลใจ
ผมเคยได้รับแรงบันดาลใจจากจากสิ่งต่างๆมากมาย ส่วนใหญได้มาจากหนังสือ
ไม่จำเป็นเลย ที่คุณต้องเข้าใจตรงกับผู้เขียน แล้วถึงจะได้รับแรงบันดาลใจ แรงบันดาลใจอาจเกิดจากการคิดต่าง คิดขัดแย้ง หรือการคิดต่อไปก็ได้
ลองมาดูวิธีเล็กๆน้อย ที่ผมอยากจะแนะนำ ให้เราได้สังเกตเห็นแรงบันดาลใจที่ซ่อนอยู่กันดีกว่า
1.กล้าสงสัย
การที่เราไม่รู้ในเรื่องใดๆ ไม่ใช่เพราะว่าเราโง่ และการที่จะเรียนรู้ก็ไม่เรื่องที่น่าอายตรงไหน ดีกว่าปล่อยให้ความไม่กล้าที่จะสงสัย เกาะติดเราจนไม่มีวันฉลาด ความสงสัยที่ทำให้เกิดคำถาม เป็นตัวจุดประกายชั้นดี ที่จะทำให้เรามองเห็นในมุมอื่นๆ ของสิ่งเหล่านั้น นี่ล่ะจุดเริ่มของแรงบันดาลใจ
เมื่อเรากล้าสงสัยแล้วสิ่งต่อมาคือ ใช้ความสงสัยดังกล่าวเปลี่ยนเป็นความกล้าด้านล่างนี้
- กล้าถาม
- กล้าค้นหาคำตอบ
- กล้าคิดต่อ
- กล้าลงมือทดลอง
2.คิดออกจากกรอบ
ลองนึกถึงสิ่งที่เป็นไปได้ยาก การเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆ ล้วนเกิดขึ้นด้วยความฝัน มนุษย์ที่บินได้,หุ่นยนต์,คอมพิวเตอร์ หากย้อนไปเมื่อ 300 ปีก่อน มันก็เป็นเพียงแค่ความฝันเพ้อเจ้อเท่านั้น แต่ปัจจุบันคุณก็ไม่เห็นแล้ว ว่าการกล้าคิดออกนอกกรอบนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
3.ช่างสังเกต
สิ่งต่างๆ มีรายละเอียดเล็กๆปลีกย่อยของมันอยู่ด้วยกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะสังเกตเห็นองค์ประกอบเหล่านั้นหรือไม่ ใช้หลักในการสังเกตค้นหาต้นต่อของแรงบันดาลใจเหล่านั้น ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เครื่องบิน >> เครื่องร่อน >> การศึกษาหาวิธี >> คนที่คิดอยากจะบิน
ลองเอากระบวนการความคิดดังกล่าวมาใช้ เราอาจจะเจอแรงบันดาลใจที่อยากเจอก็เป็นได้
พี่มิ้งค์หวังว่าหลังจากอ่านจบ จะมีคนค้นเจอแรงบันดาลใจนะครับ
ที่มา : http://www.dek-d.com/content/view.php?id=11441
แรงบันดาลใจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา อาจจะเกิดขึ้นจากสิ่งเล็กๆน้อยที่อยู่รอบตัวเรา หรือ อาจเป็นผลงานทางศิลปะ ที่ศิลปินชื่อก้องโลก คนใดคนหนึ่งสร้างสรรค์เอาไว้
อยู่ที่ว่า คุณจะมองเห็นแรงบันดาลใจที่ซ่อนอยู่ตามที่ต่างๆได้หรือไม่
แรงบันดาลใจ เป็นเชื้อไฟชั้นดีที่เผาผลาญให้เกิดกองไฟแห่งความคิดใหม่ๆ
เป็นตัวจุดประกายความพยายามในการทำสิ่งต่างๆ จุดเปลี่ยนเล็กๆนี้จะกลายเป็นเรื่องราวยิ่งใหญ่ได้หากคุณพบเจอกับแรงบันดาลใจ
ผมเคยได้รับแรงบันดาลใจจากจากสิ่งต่างๆมากมาย ส่วนใหญได้มาจากหนังสือ
ไม่จำเป็นเลย ที่คุณต้องเข้าใจตรงกับผู้เขียน แล้วถึงจะได้รับแรงบันดาลใจ แรงบันดาลใจอาจเกิดจากการคิดต่าง คิดขัดแย้ง หรือการคิดต่อไปก็ได้
ลองมาดูวิธีเล็กๆน้อย ที่ผมอยากจะแนะนำ ให้เราได้สังเกตเห็นแรงบันดาลใจที่ซ่อนอยู่กันดีกว่า
1.กล้าสงสัย
การที่เราไม่รู้ในเรื่องใดๆ ไม่ใช่เพราะว่าเราโง่ และการที่จะเรียนรู้ก็ไม่เรื่องที่น่าอายตรงไหน ดีกว่าปล่อยให้ความไม่กล้าที่จะสงสัย เกาะติดเราจนไม่มีวันฉลาด ความสงสัยที่ทำให้เกิดคำถาม เป็นตัวจุดประกายชั้นดี ที่จะทำให้เรามองเห็นในมุมอื่นๆ ของสิ่งเหล่านั้น นี่ล่ะจุดเริ่มของแรงบันดาลใจ
เมื่อเรากล้าสงสัยแล้วสิ่งต่อมาคือ ใช้ความสงสัยดังกล่าวเปลี่ยนเป็นความกล้าด้านล่างนี้
- กล้าถาม
- กล้าค้นหาคำตอบ
- กล้าคิดต่อ
- กล้าลงมือทดลอง
2.คิดออกจากกรอบ
ลองนึกถึงสิ่งที่เป็นไปได้ยาก การเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆ ล้วนเกิดขึ้นด้วยความฝัน มนุษย์ที่บินได้,หุ่นยนต์,คอมพิวเตอร์ หากย้อนไปเมื่อ 300 ปีก่อน มันก็เป็นเพียงแค่ความฝันเพ้อเจ้อเท่านั้น แต่ปัจจุบันคุณก็ไม่เห็นแล้ว ว่าการกล้าคิดออกนอกกรอบนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
3.ช่างสังเกต
สิ่งต่างๆ มีรายละเอียดเล็กๆปลีกย่อยของมันอยู่ด้วยกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะสังเกตเห็นองค์ประกอบเหล่านั้นหรือไม่ ใช้หลักในการสังเกตค้นหาต้นต่อของแรงบันดาลใจเหล่านั้น ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เครื่องบิน >> เครื่องร่อน >> การศึกษาหาวิธี >> คนที่คิดอยากจะบิน
ลองเอากระบวนการความคิดดังกล่าวมาใช้ เราอาจจะเจอแรงบันดาลใจที่อยากเจอก็เป็นได้
พี่มิ้งค์หวังว่าหลังจากอ่านจบ จะมีคนค้นเจอแรงบันดาลใจนะครับ
ที่มา : http://www.dek-d.com/content/view.php?id=11441
วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551
นักวิชาการเตือนฟ้าผ่า! ไม่ได้เกิดจากโลหะสื่อล่อฟ้า
นักวิชาการเตือนฟ้าผ่า! ไม่ได้เกิดจากโลหะสื่อล่อฟ้า
ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มีองค์ความรู้เกี่ยวกับ "ภัยธรรมชาติ" ที่พึงระวังเป็นอย่างยิ่งในช่วงฝนตก ฟ้าคะนองทั่วกรุงเช่นนี้
เพราะ "ฟ้าผ่า" ล่าสุดพบศพชาย 2 คน เสียชีวิตอยู่ใกล้รถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ บริเวณริมอ่างเก็บน้ำดอกกราย จ.ระยอง ตรวจสภาพศพพบหน้าอกมีรอยไหม้เกรียม เสื้อผ้าขาดวิ่น เบื้องต้นสันนิษฐานว่าผู้เสียชีวิตได้เข้ามาหลบฝนใกล้รถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นสื่อสายไฟทำให้ฟ้าผ่าเสียชีวิต งานนี้ นักวิชาการออกมาชี้แจงว่า ความจริงแล้วจุดที่ฟ้าผ่า ไม่จำเป็นต้องมีโลหะหรือตัวนำไฟฟ้าชั้นดีเป็นสื่อล่อก็ผ่าได้ ส่วนโลหะ เช่น เครื่องประดับ แหวน สร้อยคอ เข็มกลัด ที่เคยเชื่อว่าเป็นต้นเหตุให้เกิดฟ้าผ่าตายในหลายกรณีที่ผ่านมาแทบไม่มีผลใดๆ ในการล่อฟ้าเลย
ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ ที่ปรึกษาด้านวิชาการ ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย กล่าวว่า ฟ้าผ่า เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากเมฆฝนฟ้าคะนอง หรือเมฆคิวมูโลนิมบัส ภายในก้อนเมฆเองและพื้นดินต่างมีประจุไฟฟ้าที่ต่างกันคือประจุบวกและประจุลบ เมื่อประจุที่ต่างกันวิ่งเข้าหากันก็จะทำให้เกิดฟ้าผ่าขึ้น เหตุนี้ฟ้าผ่าจึงเกิดขึ้นได้หลายแบบ เช่น ฟ้าผ่าภายในก้อนเมฆ ฟ้าผ่าจากเมฆก้อนหนึ่งไปยังเมฆอีกก้อนหรือฟ้าแลบ รวมถึงฟ้าผ่าจากเมฆลงสู่พื้นดินซึ่งเป็นประเภทที่เกิดขึ้นบ่อยและเป็นอันตรายกับคนส่วนใหญ่มากที่สุด
"ฟ้าผ่าจากเมฆลงสู่พื้นดิน เกิดขึ้นเมื่อประจุลบ (อิเล็กตรอน) เคลื่อนที่จากฐานเมฆลงมาที่อากาศผ่านเข้ามาใกล้พื้นดิน ซึ่งประจุลบนี้สามารถเหนี่ยวนำให้วัตถุที่พื้นผิวของโลกซึ่งอยู่ "ใต้เงาเมฆ" มีประจุเป็นบวกได้ทั้งหมด พร้อมทั้งดึงดูดประจุบวกจากพื้นดินให้ไหลขึ้นมาตามต้นไม้ หลังคาบ้าน หรือบริเวณใดก็ได้ที่เป็นที่สูง เมื่อประจุลบกับบวกมาเจอกันเคลื่อนที่สวนทาง จึงเกิดเป็นกระแสโต้กลับและเกิดเป็นฟ้าผ่าได้ในที่สุด เห็นได้ว่าวัตถุและพื้นที่ทุกจุดใต้เงาเมฆฝนฟ้าคะนองมีโอกาสเป็นจุดที่ถูกฟ้าผ่าได้หมดแม้ไม่เป็นตัวนำไฟฟ้าก็ตาม จุดเสี่ยงที่จะเกิดฟ้าผ่ามากที่สุดคือบริเวณที่สูง เช่น ต้นไม้ เสาไฟฟ้า หลังคาบ้าน เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่ประจุบวกสามารถเชื่อมโยงกับประจุลบได้ง่ายที่สุด ขณะที่ชิ้นส่วนโลหะ เช่น สร้อย แหวน กระดิ่งแขวนคอวัว แทบจะไม่มีผลต่อการเป็นสื่อล่อฟ้าเลย
สาเหตุการเสียชีวิตของผู้ที่ไม่ได้ถูกฟ้าผ่าโดยตรง ดร.บัญชาบอกว่า สามารถได้อันตรายจากฟ้าผ่าใน 3 รูปแบบ คือ
1.ไฟฟ้าวิ่งเข้าสู่ร่างกายโดยการสัมผัสกับสิ่งที่ถูกฟ้าผ่า เช่น หากหลบใต้ต้นไม้ใหญ่ เสาไฟฟ้า เสาอากาศ และมีบางส่วนของร่างกายแตะกับสิ่งที่ถูกฟ้าผ่า กระแสไฟฟ้าก็จะไหลเข้าสู่ลำตัวได้โดยตรง
2.ไฟฟ้าแลบจากด้านข้าง (side flash) กล่าวคือ แม้จะไม่ได้แตะจุดที่ฟ้าผ่า กระแสไฟฟ้าก็อาจจะ "กระโดด" เข้าสู่ตัวคนทางด้านข้างได้ (ภาพ Side Flash )
3.กระแสวิ่งตามพื้น (step voltage) คือ กระแสไฟฟ้าสามารถวิ่งจากจุดถูกที่ฟ้าผ่าออกไปยังบริเวณโดยรอบ เช่น จากลำต้นลงมาที่โคนต้นไม้และกระจายออกไปตามพื้นดิน ซึ่งมักเป็นบริเวณที่น้ำเจิ่งนอง หากกระแสดังกล่าววิ่งผ่านเข้าสู่ตัวคน ก็ย่อมทำอันตราย โดยในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดคือ ทำให้ถึงแก่ความตายได้ สำหรับกรณีกระแสวิ่งตามพื้นนี้ เคยมีกรณีเหตุการณ์ฟ้าผ่าวัวจำนวนมากตาย และสันนิษฐาน (อย่างไม่ถูกต้องว่า) เกิดจากกระดิ่งโลหะที่แขวนคอเป็นตัวล่อ ซึ่งความจริงแล้วโอกาสที่สายฟ้าจะผ่าลงมาตรงกระดิ่งขนาดเล็กของวัวพร้อมกันหลายๆ ตัว 15 นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้
กรณีรอยไหม้ที่พบบริเวณที่ใส่โลหะต่างๆ ดร.บัญชาอธิบายว่า เกิดขึ้นจากกระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้าสู่ตัวคนได้ทั้งจากเสื้อผ้า (ซึ่งอาจเปียกน้ำ) ร่างกาย และผ่านลวดหรือโลหะ ซึ่งโลหะมีความต้านทานไฟฟ้าต่ำสุด จึงทำให้กระแสไฟไหลผ่านในปริมาณมากก่อให้เกิดความร้อนและเป็นรอยไหม้ที่พบบนผิวหนัง
ทั้งนี้ การชี้แจงเรื่องฟ้าผ่านั้น ไม่ต้องการให้ประชาชนตื่นตระหนก แต่เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจกับการเกิด "ฟ้าผ่า" ที่ถูกต้อง อันนำไปสู่การปฏิบัติตัวที่เหมาะสมลดความเสี่ยงในการได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากฟ้า ทั้งนี้ สถานที่หลบภัยจากฟ้าผ่าคือภายในตัวอาคาร หรือรถยนต์ที่ปิดกระจก โดยมีข้อแม้ว่าต้องไม่สัมผัสกับวัสดุที่เชื่อมต่อกับอาคารหรือตัวรถด้านนอกซึ่งอาจถูกฟ้าผ่าได้ งดการใช้โทรศัพท์แบบมีสาย ถอดปลั๊กโทรทัศน์ และไม่ควรเล่นอินเตอร์เนตที่เชื่อมต่อกับสายโทรศัพท์ เพราะกระแสไฟฟ้าจากอาคารสามารถวิ่งมาตามสายโทรศัพท์ได้ ขณะที่คนซึ่งอยู่กลางแจ้งเมื่อเกิดฟ้าผ่าให้นั่งยองๆ ก้มศีรษะเพื่อลดตัวให้ต่ำที่สุด เท้าชิดกันและเขย่งเล็กน้อยเพื่อลดความเสี่ยงกรณีกระแสไฟไหลมาตามพื้น
ที่มา นสพ.มติชน
ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=64&post_id=1268201
ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มีองค์ความรู้เกี่ยวกับ "ภัยธรรมชาติ" ที่พึงระวังเป็นอย่างยิ่งในช่วงฝนตก ฟ้าคะนองทั่วกรุงเช่นนี้
เพราะ "ฟ้าผ่า" ล่าสุดพบศพชาย 2 คน เสียชีวิตอยู่ใกล้รถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ บริเวณริมอ่างเก็บน้ำดอกกราย จ.ระยอง ตรวจสภาพศพพบหน้าอกมีรอยไหม้เกรียม เสื้อผ้าขาดวิ่น เบื้องต้นสันนิษฐานว่าผู้เสียชีวิตได้เข้ามาหลบฝนใกล้รถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นสื่อสายไฟทำให้ฟ้าผ่าเสียชีวิต งานนี้ นักวิชาการออกมาชี้แจงว่า ความจริงแล้วจุดที่ฟ้าผ่า ไม่จำเป็นต้องมีโลหะหรือตัวนำไฟฟ้าชั้นดีเป็นสื่อล่อก็ผ่าได้ ส่วนโลหะ เช่น เครื่องประดับ แหวน สร้อยคอ เข็มกลัด ที่เคยเชื่อว่าเป็นต้นเหตุให้เกิดฟ้าผ่าตายในหลายกรณีที่ผ่านมาแทบไม่มีผลใดๆ ในการล่อฟ้าเลย
ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ ที่ปรึกษาด้านวิชาการ ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย กล่าวว่า ฟ้าผ่า เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากเมฆฝนฟ้าคะนอง หรือเมฆคิวมูโลนิมบัส ภายในก้อนเมฆเองและพื้นดินต่างมีประจุไฟฟ้าที่ต่างกันคือประจุบวกและประจุลบ เมื่อประจุที่ต่างกันวิ่งเข้าหากันก็จะทำให้เกิดฟ้าผ่าขึ้น เหตุนี้ฟ้าผ่าจึงเกิดขึ้นได้หลายแบบ เช่น ฟ้าผ่าภายในก้อนเมฆ ฟ้าผ่าจากเมฆก้อนหนึ่งไปยังเมฆอีกก้อนหรือฟ้าแลบ รวมถึงฟ้าผ่าจากเมฆลงสู่พื้นดินซึ่งเป็นประเภทที่เกิดขึ้นบ่อยและเป็นอันตรายกับคนส่วนใหญ่มากที่สุด
"ฟ้าผ่าจากเมฆลงสู่พื้นดิน เกิดขึ้นเมื่อประจุลบ (อิเล็กตรอน) เคลื่อนที่จากฐานเมฆลงมาที่อากาศผ่านเข้ามาใกล้พื้นดิน ซึ่งประจุลบนี้สามารถเหนี่ยวนำให้วัตถุที่พื้นผิวของโลกซึ่งอยู่ "ใต้เงาเมฆ" มีประจุเป็นบวกได้ทั้งหมด พร้อมทั้งดึงดูดประจุบวกจากพื้นดินให้ไหลขึ้นมาตามต้นไม้ หลังคาบ้าน หรือบริเวณใดก็ได้ที่เป็นที่สูง เมื่อประจุลบกับบวกมาเจอกันเคลื่อนที่สวนทาง จึงเกิดเป็นกระแสโต้กลับและเกิดเป็นฟ้าผ่าได้ในที่สุด เห็นได้ว่าวัตถุและพื้นที่ทุกจุดใต้เงาเมฆฝนฟ้าคะนองมีโอกาสเป็นจุดที่ถูกฟ้าผ่าได้หมดแม้ไม่เป็นตัวนำไฟฟ้าก็ตาม จุดเสี่ยงที่จะเกิดฟ้าผ่ามากที่สุดคือบริเวณที่สูง เช่น ต้นไม้ เสาไฟฟ้า หลังคาบ้าน เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่ประจุบวกสามารถเชื่อมโยงกับประจุลบได้ง่ายที่สุด ขณะที่ชิ้นส่วนโลหะ เช่น สร้อย แหวน กระดิ่งแขวนคอวัว แทบจะไม่มีผลต่อการเป็นสื่อล่อฟ้าเลย
สาเหตุการเสียชีวิตของผู้ที่ไม่ได้ถูกฟ้าผ่าโดยตรง ดร.บัญชาบอกว่า สามารถได้อันตรายจากฟ้าผ่าใน 3 รูปแบบ คือ
1.ไฟฟ้าวิ่งเข้าสู่ร่างกายโดยการสัมผัสกับสิ่งที่ถูกฟ้าผ่า เช่น หากหลบใต้ต้นไม้ใหญ่ เสาไฟฟ้า เสาอากาศ และมีบางส่วนของร่างกายแตะกับสิ่งที่ถูกฟ้าผ่า กระแสไฟฟ้าก็จะไหลเข้าสู่ลำตัวได้โดยตรง
2.ไฟฟ้าแลบจากด้านข้าง (side flash) กล่าวคือ แม้จะไม่ได้แตะจุดที่ฟ้าผ่า กระแสไฟฟ้าก็อาจจะ "กระโดด" เข้าสู่ตัวคนทางด้านข้างได้ (ภาพ Side Flash )
3.กระแสวิ่งตามพื้น (step voltage) คือ กระแสไฟฟ้าสามารถวิ่งจากจุดถูกที่ฟ้าผ่าออกไปยังบริเวณโดยรอบ เช่น จากลำต้นลงมาที่โคนต้นไม้และกระจายออกไปตามพื้นดิน ซึ่งมักเป็นบริเวณที่น้ำเจิ่งนอง หากกระแสดังกล่าววิ่งผ่านเข้าสู่ตัวคน ก็ย่อมทำอันตราย โดยในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดคือ ทำให้ถึงแก่ความตายได้ สำหรับกรณีกระแสวิ่งตามพื้นนี้ เคยมีกรณีเหตุการณ์ฟ้าผ่าวัวจำนวนมากตาย และสันนิษฐาน (อย่างไม่ถูกต้องว่า) เกิดจากกระดิ่งโลหะที่แขวนคอเป็นตัวล่อ ซึ่งความจริงแล้วโอกาสที่สายฟ้าจะผ่าลงมาตรงกระดิ่งขนาดเล็กของวัวพร้อมกันหลายๆ ตัว 15 นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้
กรณีรอยไหม้ที่พบบริเวณที่ใส่โลหะต่างๆ ดร.บัญชาอธิบายว่า เกิดขึ้นจากกระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้าสู่ตัวคนได้ทั้งจากเสื้อผ้า (ซึ่งอาจเปียกน้ำ) ร่างกาย และผ่านลวดหรือโลหะ ซึ่งโลหะมีความต้านทานไฟฟ้าต่ำสุด จึงทำให้กระแสไฟไหลผ่านในปริมาณมากก่อให้เกิดความร้อนและเป็นรอยไหม้ที่พบบนผิวหนัง
ทั้งนี้ การชี้แจงเรื่องฟ้าผ่านั้น ไม่ต้องการให้ประชาชนตื่นตระหนก แต่เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจกับการเกิด "ฟ้าผ่า" ที่ถูกต้อง อันนำไปสู่การปฏิบัติตัวที่เหมาะสมลดความเสี่ยงในการได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากฟ้า ทั้งนี้ สถานที่หลบภัยจากฟ้าผ่าคือภายในตัวอาคาร หรือรถยนต์ที่ปิดกระจก โดยมีข้อแม้ว่าต้องไม่สัมผัสกับวัสดุที่เชื่อมต่อกับอาคารหรือตัวรถด้านนอกซึ่งอาจถูกฟ้าผ่าได้ งดการใช้โทรศัพท์แบบมีสาย ถอดปลั๊กโทรทัศน์ และไม่ควรเล่นอินเตอร์เนตที่เชื่อมต่อกับสายโทรศัพท์ เพราะกระแสไฟฟ้าจากอาคารสามารถวิ่งมาตามสายโทรศัพท์ได้ ขณะที่คนซึ่งอยู่กลางแจ้งเมื่อเกิดฟ้าผ่าให้นั่งยองๆ ก้มศีรษะเพื่อลดตัวให้ต่ำที่สุด เท้าชิดกันและเขย่งเล็กน้อยเพื่อลดความเสี่ยงกรณีกระแสไฟไหลมาตามพื้น
ที่มา นสพ.มติชน
ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=64&post_id=1268201
Top 20 Amazing Science Facts
Top 20 Amazing Science Facts
1. เส้นเลือดในร่างกายมนุษย์มีความยาวรวม 62,000 ไมล์ ถ้านำมันมาเรียงต่อกันเป็นทางยาวจะได้ความยาว ถึง 2.5 เท่าของเส้นรอบวงโลก
2. The Great Barrier Reef (แนวปะการังที่ยาวทีสุดในโลกบริเวณออสเตรเลีย) เป็นโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความยา วกว่า 2000 กิโลเมตร
3. โอกาสที่โลกจะถูกโจมตีด้วยอุกาบาตขนาดใหญ่ อยู่ที่ 9300 ปีต่อครั้ง
4. ดาวนิวตรอนขนาดเท่าหัวแม่มือมีน้ำหนักกว่า 100 ล้านตัน
5. พายุเฮอริเคนหนึ่งลูกผลิตพลังงานเท่ากับระเบิดขนาด 1 เมกะตันจำนวน 8000 ลูก
6. คาดว่ามีพยาธิปากขอ ซึ่ึงดูดเลือดเป็นอาหารอยู่ในร่างกายมนุษย์โลกเรา 700 ล้านคน
7. Fred Rompelberg คือผู้ขี่จักรยานด้วยความเร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ ว 166.94 ไมล์ต่อชั่วโมง
8. มนุษย์เราสามารถคิดค้นแสงเลเซอร์ที่มีความสว่างกว่าแ สงอาทิตย์ 1 ล้านเท่า
9. 65% ของผู้ป่วยออทิสติคส์ เป็นคนถนัดซ้าย
10. Finnish pine tree (ต้นสนชนิดหนึ่งในฟินแลนด์) มีความยาวของรากแต่ละต้นรวมแล้วกว่า 30 ไมล์
11. จำนวนเกลือที่อยู่ในน้ำทะเลทัี่วโลกเรา สามารถปกคลุมพื้นผิวทวีปทั่วโลกได้หนากว่า 500 ฟุต
12. กลุ่มแก๊สระหว่างหมู่ดาวในราศีธนู มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์นับหมื่นล้านล้านลิตร
13. หมีขั้วโลกสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 25 ไมล์ต่อชัวโมง และกระโดดได้สูงกว่า 6 ฟุต
14. มนุษย์และปลาโลมาสืบสายพันธ์เดียวกันมาตั้งแต่ 60 - 65 ล้านปีก่อน
15. กล้อง infared จับภาพหมีขั้วโลกได้ยากมาก เนื่องจากคุณสมบัติของขนของมัน
16. เฉลี่ยแล้วในหนึ่งปี คนเราจะกินสัตว์จำพวกเห็บลิ้นไร โดยไม่ได้ตั้งใจไป 430 ตัวต่อคนต่อปี
17. รากของต้น Rye(ข้าวชนิดหนึ่งใช้หมักสุรา) สามารถแผ่ขยายไปได้ถึง 400 ไมล์
18. อุณหภูมิบนพื้นผิวของดาวพุธสูงกว่า 430 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน แต่ลดลงต่ำกว่า ติดลบ 180 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน
19. ภายใน 24 ชั่วโมง ต้นโอ๊กขนาดใหญ่ขับน้ำ(ในรูปของไอน้ำ)ออกมา 10 - 25 แกลลอน
20. ผีเสื้อรับรู้รสด้วยขาหลังของมัน โดยประสาทการรับรู้ทำงานโดยการสัมผัส ทำให้มันรู้ว่าใบไม้และดอกไม้ที่มันสัมผัส มีรสชาติอย่างไรและกินได้หรือไม่
Credit คุณ ParanoiD จาก bbs.asiasoft.co.th
ข้อมูลทั้งหมดมาจาก listverse.com/science/top-20-amazing-science-facts
ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1118708
1. เส้นเลือดในร่างกายมนุษย์มีความยาวรวม 62,000 ไมล์ ถ้านำมันมาเรียงต่อกันเป็นทางยาวจะได้ความยาว ถึง 2.5 เท่าของเส้นรอบวงโลก
2. The Great Barrier Reef (แนวปะการังที่ยาวทีสุดในโลกบริเวณออสเตรเลีย) เป็นโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความยา วกว่า 2000 กิโลเมตร
3. โอกาสที่โลกจะถูกโจมตีด้วยอุกาบาตขนาดใหญ่ อยู่ที่ 9300 ปีต่อครั้ง
4. ดาวนิวตรอนขนาดเท่าหัวแม่มือมีน้ำหนักกว่า 100 ล้านตัน
5. พายุเฮอริเคนหนึ่งลูกผลิตพลังงานเท่ากับระเบิดขนาด 1 เมกะตันจำนวน 8000 ลูก
6. คาดว่ามีพยาธิปากขอ ซึ่ึงดูดเลือดเป็นอาหารอยู่ในร่างกายมนุษย์โลกเรา 700 ล้านคน
7. Fred Rompelberg คือผู้ขี่จักรยานด้วยความเร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ ว 166.94 ไมล์ต่อชั่วโมง
8. มนุษย์เราสามารถคิดค้นแสงเลเซอร์ที่มีความสว่างกว่าแ สงอาทิตย์ 1 ล้านเท่า
9. 65% ของผู้ป่วยออทิสติคส์ เป็นคนถนัดซ้าย
10. Finnish pine tree (ต้นสนชนิดหนึ่งในฟินแลนด์) มีความยาวของรากแต่ละต้นรวมแล้วกว่า 30 ไมล์
11. จำนวนเกลือที่อยู่ในน้ำทะเลทัี่วโลกเรา สามารถปกคลุมพื้นผิวทวีปทั่วโลกได้หนากว่า 500 ฟุต
12. กลุ่มแก๊สระหว่างหมู่ดาวในราศีธนู มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์นับหมื่นล้านล้านลิตร
13. หมีขั้วโลกสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 25 ไมล์ต่อชัวโมง และกระโดดได้สูงกว่า 6 ฟุต
14. มนุษย์และปลาโลมาสืบสายพันธ์เดียวกันมาตั้งแต่ 60 - 65 ล้านปีก่อน
15. กล้อง infared จับภาพหมีขั้วโลกได้ยากมาก เนื่องจากคุณสมบัติของขนของมัน
16. เฉลี่ยแล้วในหนึ่งปี คนเราจะกินสัตว์จำพวกเห็บลิ้นไร โดยไม่ได้ตั้งใจไป 430 ตัวต่อคนต่อปี
17. รากของต้น Rye(ข้าวชนิดหนึ่งใช้หมักสุรา) สามารถแผ่ขยายไปได้ถึง 400 ไมล์
18. อุณหภูมิบนพื้นผิวของดาวพุธสูงกว่า 430 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน แต่ลดลงต่ำกว่า ติดลบ 180 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน
19. ภายใน 24 ชั่วโมง ต้นโอ๊กขนาดใหญ่ขับน้ำ(ในรูปของไอน้ำ)ออกมา 10 - 25 แกลลอน
20. ผีเสื้อรับรู้รสด้วยขาหลังของมัน โดยประสาทการรับรู้ทำงานโดยการสัมผัส ทำให้มันรู้ว่าใบไม้และดอกไม้ที่มันสัมผัส มีรสชาติอย่างไรและกินได้หรือไม่
Credit คุณ ParanoiD จาก bbs.asiasoft.co.th
ข้อมูลทั้งหมดมาจาก listverse.com/science/top-20-amazing-science-facts
ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1118708
วิธีสลัดเรื่องไร้สาระออกจากใจ
วิธีสลัดเรื่องไร้สาระออกจากใจ
บทความที่นำมาเสนอจากหนังสือเรื่อง Don't Sweat the Small Stuff แต่งโดย
Richard Carlson
ผู้แต่งเชื่อว่านิสัยเกิดจากการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งครั้งแล้วครั้งเล่า
นิสัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นเองตามสภาวะธรรมชาติและเกิดขึ้นบ่อยครั้งเสียจนเราไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งผิดปกติหรือเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข
แต่หารู้ไม่ว่านิสัยที่ไม่ดีของเราเหล่านี้จะเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต
ทำให้เราหมดกำลังใจ และทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ดังนั้น
ผู้แต่งจึงชี้ให้เห็นถึงนิสัยที่ไม่ดีและมิจฉาทิฏฐิที่ควรแก้ไข ดังนี้
1. ความคิดที่ว่าเมื่อประสบปัญหาต้องรีบแก้ไขทันที
ในช่วงที่ประสบปัญหาจิตใจจะวกวนสับสน เครียด อึดอัด มึนงง
เศร้าสลดหดหู่ไม่ควรที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาใด ๆ เพราะยิ่งคิดยิ่งมึนงง
มองไม่เห็นทางออก หรือถ้าคิดออกความคิดที่ได้ก็ไม่เฉียบคม
วิธีแก้ หยุดคิด ทำใจให้สบาย ๆ ปล่อยวาง เมื่อจิตใจสงบจึงค่อยเริ่มแก้ไขปัญหา
แก้ไขปัญหาที่พอจะแก้ไขได้ก่อน
ปัญหาที่รุนแรงและเรื้อรังยากที่จะแก้ไขได้โดยทันที ก็ให้ค่อย ๆ
แก้ไขไปทีละเปลาะสองเปลาะ เมื่อปัญหาลดน้อยลงจะทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น
ปัญหาที่ยากย่อมต้องใช้เวลา ความพยายาม ความอดทน และความต่อเนื่องเป็นธรรมดา
จงยอมรับความเป็นจริงทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเรา
คิดถึงเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้น(Worst case scenario)
แล้วทำใจยอมรับให้ได้ เมื่อนั้นจิตใจจะสงบ
และในความเป็นจริงมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เราคิดไว้ก็ได้
จะทำให้เรายิ่งมีกำลังใจที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาต่อไป
2. หงุดหงิดรำคาญใจ ทุกสิ่งทุกอย่างขัดหูขัดตาไปหมด ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย
บุคคลที่มีความคิดประเภทนี้จะมีจิตใจคับแคบ ไม่รู้จักให้อภัยผู้อื่น
เอาตนเองเป็นที่ตั้ง ชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา
นิดหนึ่งก็ไม่ได้นิดหนึ่งก็ไม่ยอม จิตใจร้อนรุ่ม หาความสุขไม่ได้
ไม่มีใครอยากเข้าใกล้หรืออยากทำงานด้วย มีศัตรูเต็มไปหมด
สุขภาพเสื่อมโทรมโรคภัยรุมเร้าเพราะมีความเครียดอยู่ตลอดเวลา
วิธีแก้รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
ไม่มีใครสามารถทำตามใจเราได้ทุกอย่าง
ทำอะไรก็ตามให้อยู่ในระดับกลาง ๆ พอดี ๆ ไม่ต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง
พูดจาให้นุ่มนวลอ่อนหวาน สบาย ๆ ไม่ต้องเอาเป็นเอาตาย
เอาจริงเอาจังไปเสียทุกเรื่อง
3. บ้างาน คิดว่าตนเองมีงานล้นมือ
ทุกอย่างมีแต่ความรีบเร่งจนไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง
คนที่รีบเร่งทำงานหลาย ๆ อย่างแต่ทำไม่เสร็จซักอย่าง งานส่วนใหญ่มักจะไม่มีสาระ
ไม่สำคัญ ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นเพราะการรีบเร่งทำงานอยู่ตลอดเวลาจิตจะไม่ว่าง
กิริยาจะร้อนรน ขาดสติสัมปชัญญะ
ขาดความระมัดระวังทำให้ไม่รู้ตัวว่าตนกำลังทำสิ่งที่ไร้สาระอยู่
เมื่อพลังงานส่วนใหญ่สูญเสียไปกับการทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
งานที่ออกมาก็ไม่มีประสิทธิภาพ
เมื่อโดนตำหนิก็เกิดความเครียดทำให้ต้องรีบสร้างผลงานมากขึ้นเพื่อชดเชยความผิด
แต่ยิ่งรีบก็ยิ่งผิด วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุด
วิธีแก้เลือกทำในสิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตถามตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำ
กำลังพูด และกำลังคิดอยู่นี้จะทำให้เรามีความสุขขึ้น เป็นคนดีมากขึ้น
มีสติปัญญามากขึ้น และมีเงินทองมากขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ก็ให้ตัดทิ้งเสียเช่น
การนินทาว่าร้ายเจ้านาย เป็นต้น ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะสิ่งต่าง ๆ
ที่ทำในปัจจุบันจะส่งผลไปยังอนาคตอย่างแน่นอน ให้บอกตนเองเสมอว่า
ในโลกนี้มีงานต่าง ๆ อีกมากมายทำเท่าไรก็ทำไม่หมดหรอก
ทำแต่สิ่งที่สำคัญเท่านั้นก็พอ ให้ตระหนักถึงสัจธรรมที่ว่า
ถึงแม้ว่าเราจะจากโลกนี้ไป โลกมันก็ยังคงดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องมีตัวเรา
อย่าสำคัญตัวเองมากนัก หยุดทำงานทุกอย่าง นั่งสงบนิ่งดูลมหายใจ (อาณาปาณสติ)
สัก 15 นาที เจริญมรณานุสติโดยการคิดว่าถ้าจะต้องตายในอีก 7 วันข้างหน้า
เราอยากทำสิ่งใดมากที่สุด
(แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับบุคคลที่เป็นโทสะจริตเพราะมีมรณานุสติเป็นอารมณ์อยู่แล้ว)
4. คิดเอาตนเองเป็นใหญ่และคิดอาฆาตแค้นพยาบาทคนอยู่ตลอดเวลา
ความคิดนี้เป็นความคิดในแง่ลบ (Negative thinking) ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต
ทำให้เราเป็นคนย้ำคิดย้ำทำและเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายโดยที่เราไม่รู้ตัว การกระทำ
คำพูดและแววตาจะแสดงออกมาด้วยความก้าวร้าวรุนแรง
วิธีแก้ให้ระมัดระวังความคิดในแง่ลบ
เมื่อมีความคิดเหล่านี้โผล่ขึ้นมาเองไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องคิดต่อ
ให้เปลี่ยนเรื่องคิดทันที
ให้หันมาคิดในแง่บวกแทนซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เกิดเองตามธรรมชาติจะต้องสร้างขึ้นมา
ทำใจยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความคิดที่เป็นอกุศลเช่น ความอิจฉาริษยา
ความอาฆาตพยาบาท ความมีอัตตาตัวตน และความยึดมั่นถือมั่น เป็นต้น
ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้รวมทั้งตัวเราเอง ทุกคนเท่าเทียมกันหมด
เราจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินผู้อื่นว่าถูกหรือผิด
หากเรายอมรับความเป็นจริงในข้อนี้ได้
เราจะรู้จักให้อภัยผู้อื่นและให้อภัยตัวเอง รู้จักสำรวมคำพูดและการกระทำมากขึ้น
พยายามประคับประคองความคิดที่ดีให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
5. คิดดูถูกผู้อื่น และชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา
ความคิดเหล่านี้จะทำให้เรามีจิตใจคับแคบ ไม่มีเมตตาต่อผู้อื่น
มีความเครียดเป็นอาจิณ วิธีแก้เอาใจเขามาใส่ใจเรา เลิกเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
หัดเข้าใจความคิดและอารมณ์ของผู้อื่นว่าทำไมเขาถึงพูดหรือทำเช่นนั้น
และถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา เราอาจจะทำแบบเดียวกับเขาก็ได้ เป็นต้น
ยอมรับว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่คิดเหมือนกับเรา ดังนั้น
การมีความคิดที่ขัดแย้งกันย่อมเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่มีใครถูกใครผิดหัดฟังมากกว่าพูด สักแต่รู้สักแต่เห็น
รับรู้ทุกอย่างแต่อย่าคิดต่อ
ไม่ต้องหาเหตุหาผลไปซะทุกเรื่องพิจารณาอารมณ์ของตนเองว่าในขณะนี้เราสุข ทุกข์
หรือเฉย ๆ เพื่อหยุดความคิดซึ่งป็นบ่อเกิดแห่งอัตตาตัวกูของกู
6. คิดเอาชนะผู้อื่น
การโต้เถียงเอาชนะผู้อื่นเพียงเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกต้องเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช้เหตุ
และยังเป็นการสร้างศัตรูโดยที่เราไม่รู้ตัว
วิธีแก้พูดเท่าที่จำเป็นพูดแต่สิ่งที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์
รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง หัดฟังมากกว่าพูด และเอาใจเขามาใส่ใจเรา
พยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ
หลีกเลี่ยงการโต้เถียงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
7. คิดทวงบุญคุณจากผู้อื่น
การทวงบุญคุณจะทำให้จิตใจคับแคบ เต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่พอใจ ลังเลสงสัย
จิตใจสกปรกขุ่นมัวเพราะเป็นการทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน
วิธีแก้ ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้ให้ในที่นี้คือตัวเรานั่นเอง
ควรให้เพราะอยากช่วยเหลือไม่ต้องมีตัวเขาเราท่าน
ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้รับ
คนไหนพอช่วยได้ให้ช่วยไปเลยไม่ต้องจำกัดว่าช่วยเพราะเป็นญาติเรา
หรือช่วยเพราะเขาทำดีกับเรา เป็นต้น ช่วยแล้วหันหลังกลับ ไม่หวังผลตอบแทน
8. คิดกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
การคิดวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจะทำให้จิตใจว้าวุ่น สับสน
เต็มไปด้วยความหวาดกลัว จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับปัจจุบัน
วิธีแก้ รู้เนื้อรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำแล้วเกิดผลอะไร
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คิดโกรธเกลียดหมั่นไส้ผู้อื่น ความโกรธ เกลียด รำคาญ
และไม่ชอบหน้าบุคคลที่เคยทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเป็นนิสัยที่เกิดได้กับมนุษย์ทุกคน
แต่เมื่อมีความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นในจิตใจเราควรระมัดระวังไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า
แววตา น้ำเสียง และการกระทำ นอกจากนั้น เราควรมองบุคคลเหล่านั้นในแง่บวกเช่น
คนที่ตำหนิติเตียนเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักทำงานให้เป็นระเบียบมากขึ้น
หรือคนนินทาว่าร้ายเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักวางตัว พูดเท่าที่จำเป็น
เพราะเขารู้เรื่องของเราหมดจึงเอาไปคุยกันจนสนุกปาก เป็นต้น
9. คิดน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง
การคิดน้อยใจในชะตากรรมของตัวเองเช่น เกิดมายากจน รูปร่างไม่ดี หน้าตาไม่สวย
เรียนหนังสือไม่เก่ง หรือทำอะไรก็สู้เขาไม่ได้ เป็นต้น
การคิดเช่นนี้นอกจากจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจตัวเองแล้วยังทำให้ชีวิตจมปลักไม่ก้าวหน้าไปไหน
เพราะมัวแต่ย้ำคิดย้ำทำแต่สิ่งเดิม ๆ
วิธีแก้ จงพอใจในสิ่งที่ตนมี และอย่าคิดเปรียบเทียบกับคนอื่น
ระลึกและจดจำในสิ่งดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้าง
รู้จักและยอมรับตนเองทั้งจุดเด่นและจุดด้อย
พัฒนาและใช้จุดเด่นของเราให้เป็นประโยชน์และปรับปรุงจุดด้อยหรือหาสิ่งอื่นมาทดแทน
เรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต
ลืมอดีตที่ขมขื่นเพื่อทำปัจจุบันให้ดีที่สุด คิดในแง่บวก
และพยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา
10. นิสัยมองโลกในแง่ร้ายและคิดว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว
การคิดเช่นนี้จะยิ่งเป็นการตอกย้ำความคิดในแง่ลบให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ
มองความจริงไม่ตรงตามความเป็นจริง ปัญหาเล็ก ๆ
ก็ตีโพยตีพายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต จิตใจคับแคบ
หาความสุขไม่ได้เพราะจะคอยจับผิดผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา
วิธีแก้คิดถึงประสบการณ์ดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้างเช่น
คิดถึงบุคคลที่มีบุญคุณหรือมีน้ำใจกับเรา เป็นต้นพยายามมองโลกในแง่บวก
อย่าปล่อยให้จิตมันคิดเอง
11. คิดว่าโลกนี้มีแต่ปัญหาเต็มไปหมด แก้เท่าไรก็ไม่หมดเสียที
การคิดเช่นนี้นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้วรังแต่จะเป็นตัวบ่อนทำลายกำลังใจของเราเองเสียอีก
วิธีแก้ ให้มองปัญหาเสมือนด่านทดสอบความอดทน ตัวฝึกฝนทักษะในการแก้ปัญหา
และเป็นแหล่งปัญญาที่หาไม่ได้จากในหนังสือ
มองปัญหาในแง่บวกว่ามันอาจจะเป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าก่อนที่ความหายนะจะเกิดขึ้นก็ได้
ปัญหาทำให้เราเห็นข้อบกพร่องที่เราอาจจะมองข้ามไป
มองปัญหาเป็นเรื่องธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบ อันไหนพอแก้ได้ก็ทำไปก่อน
คิดในแง่บวกและตั้งจิตว่าจะประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา
12. คิดว่าเราเก่งกว่าผู้อื่น ฉลาดกว่าผู้อื่น หรือร่ำรวยกว่าผู้อื่น
ความคิดเช่นนี้จะส่งผลให้พฤติกรรมที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความหยิ่งยะโสโอหัง
อวดดี ถือตัว มองผู้อื่นด้วยสายตาดูถูกดูแคลน วาจาจะรุนแรงและสามหาว
บุคคลรอบข้างจะรังเกียจ หมั่นไส้ และอิจฉาริษยา
ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว
วิธีแก้ ระมัดระวังคำพูด ความคิด และการกระทำ
ต้องมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา หัดมองตัวเอง เลิกเปรียบเทียบกับผู้อื่น
อยากวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น
13. การด่าทอ เหน็บแนม ประชดประชัน และวิพากษ์วิจารณ์
เป็นอกุศลวาจาที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับผู้อื่น
ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนั้น
ความคิดเหล่านี้ยังเป็นที่มาของความโกรธ ความเกลียด
และความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจมนุษย์อีกด้วย
วิธีแก้ คิดก่อนพูดและไม่ต้องพูดทุกอย่างที่เราคิด
ถ้าพูดแล้วไม่สร้างสรรค์นิ่งเสียจะดีกว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา
ในโลกนี้ไม่มีใครชอบถูกวิพากษ์วิจารณ์แม้แต่ตัวเราเอง
ที่มา : http://www.thaireaderclub.com
บทความที่นำมาเสนอจากหนังสือเรื่อง Don't Sweat the Small Stuff แต่งโดย
Richard Carlson
ผู้แต่งเชื่อว่านิสัยเกิดจากการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งครั้งแล้วครั้งเล่า
นิสัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นเองตามสภาวะธรรมชาติและเกิดขึ้นบ่อยครั้งเสียจนเราไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งผิดปกติหรือเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข
แต่หารู้ไม่ว่านิสัยที่ไม่ดีของเราเหล่านี้จะเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต
ทำให้เราหมดกำลังใจ และทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ดังนั้น
ผู้แต่งจึงชี้ให้เห็นถึงนิสัยที่ไม่ดีและมิจฉาทิฏฐิที่ควรแก้ไข ดังนี้
1. ความคิดที่ว่าเมื่อประสบปัญหาต้องรีบแก้ไขทันที
ในช่วงที่ประสบปัญหาจิตใจจะวกวนสับสน เครียด อึดอัด มึนงง
เศร้าสลดหดหู่ไม่ควรที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาใด ๆ เพราะยิ่งคิดยิ่งมึนงง
มองไม่เห็นทางออก หรือถ้าคิดออกความคิดที่ได้ก็ไม่เฉียบคม
วิธีแก้ หยุดคิด ทำใจให้สบาย ๆ ปล่อยวาง เมื่อจิตใจสงบจึงค่อยเริ่มแก้ไขปัญหา
แก้ไขปัญหาที่พอจะแก้ไขได้ก่อน
ปัญหาที่รุนแรงและเรื้อรังยากที่จะแก้ไขได้โดยทันที ก็ให้ค่อย ๆ
แก้ไขไปทีละเปลาะสองเปลาะ เมื่อปัญหาลดน้อยลงจะทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น
ปัญหาที่ยากย่อมต้องใช้เวลา ความพยายาม ความอดทน และความต่อเนื่องเป็นธรรมดา
จงยอมรับความเป็นจริงทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเรา
คิดถึงเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้น(Worst case scenario)
แล้วทำใจยอมรับให้ได้ เมื่อนั้นจิตใจจะสงบ
และในความเป็นจริงมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เราคิดไว้ก็ได้
จะทำให้เรายิ่งมีกำลังใจที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาต่อไป
2. หงุดหงิดรำคาญใจ ทุกสิ่งทุกอย่างขัดหูขัดตาไปหมด ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย
บุคคลที่มีความคิดประเภทนี้จะมีจิตใจคับแคบ ไม่รู้จักให้อภัยผู้อื่น
เอาตนเองเป็นที่ตั้ง ชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา
นิดหนึ่งก็ไม่ได้นิดหนึ่งก็ไม่ยอม จิตใจร้อนรุ่ม หาความสุขไม่ได้
ไม่มีใครอยากเข้าใกล้หรืออยากทำงานด้วย มีศัตรูเต็มไปหมด
สุขภาพเสื่อมโทรมโรคภัยรุมเร้าเพราะมีความเครียดอยู่ตลอดเวลา
วิธีแก้รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
ไม่มีใครสามารถทำตามใจเราได้ทุกอย่าง
ทำอะไรก็ตามให้อยู่ในระดับกลาง ๆ พอดี ๆ ไม่ต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง
พูดจาให้นุ่มนวลอ่อนหวาน สบาย ๆ ไม่ต้องเอาเป็นเอาตาย
เอาจริงเอาจังไปเสียทุกเรื่อง
3. บ้างาน คิดว่าตนเองมีงานล้นมือ
ทุกอย่างมีแต่ความรีบเร่งจนไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง
คนที่รีบเร่งทำงานหลาย ๆ อย่างแต่ทำไม่เสร็จซักอย่าง งานส่วนใหญ่มักจะไม่มีสาระ
ไม่สำคัญ ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นเพราะการรีบเร่งทำงานอยู่ตลอดเวลาจิตจะไม่ว่าง
กิริยาจะร้อนรน ขาดสติสัมปชัญญะ
ขาดความระมัดระวังทำให้ไม่รู้ตัวว่าตนกำลังทำสิ่งที่ไร้สาระอยู่
เมื่อพลังงานส่วนใหญ่สูญเสียไปกับการทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
งานที่ออกมาก็ไม่มีประสิทธิภาพ
เมื่อโดนตำหนิก็เกิดความเครียดทำให้ต้องรีบสร้างผลงานมากขึ้นเพื่อชดเชยความผิด
แต่ยิ่งรีบก็ยิ่งผิด วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุด
วิธีแก้เลือกทำในสิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตถามตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำ
กำลังพูด และกำลังคิดอยู่นี้จะทำให้เรามีความสุขขึ้น เป็นคนดีมากขึ้น
มีสติปัญญามากขึ้น และมีเงินทองมากขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ก็ให้ตัดทิ้งเสียเช่น
การนินทาว่าร้ายเจ้านาย เป็นต้น ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะสิ่งต่าง ๆ
ที่ทำในปัจจุบันจะส่งผลไปยังอนาคตอย่างแน่นอน ให้บอกตนเองเสมอว่า
ในโลกนี้มีงานต่าง ๆ อีกมากมายทำเท่าไรก็ทำไม่หมดหรอก
ทำแต่สิ่งที่สำคัญเท่านั้นก็พอ ให้ตระหนักถึงสัจธรรมที่ว่า
ถึงแม้ว่าเราจะจากโลกนี้ไป โลกมันก็ยังคงดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องมีตัวเรา
อย่าสำคัญตัวเองมากนัก หยุดทำงานทุกอย่าง นั่งสงบนิ่งดูลมหายใจ (อาณาปาณสติ)
สัก 15 นาที เจริญมรณานุสติโดยการคิดว่าถ้าจะต้องตายในอีก 7 วันข้างหน้า
เราอยากทำสิ่งใดมากที่สุด
(แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับบุคคลที่เป็นโทสะจริตเพราะมีมรณานุสติเป็นอารมณ์อยู่แล้ว)
4. คิดเอาตนเองเป็นใหญ่และคิดอาฆาตแค้นพยาบาทคนอยู่ตลอดเวลา
ความคิดนี้เป็นความคิดในแง่ลบ (Negative thinking) ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต
ทำให้เราเป็นคนย้ำคิดย้ำทำและเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายโดยที่เราไม่รู้ตัว การกระทำ
คำพูดและแววตาจะแสดงออกมาด้วยความก้าวร้าวรุนแรง
วิธีแก้ให้ระมัดระวังความคิดในแง่ลบ
เมื่อมีความคิดเหล่านี้โผล่ขึ้นมาเองไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องคิดต่อ
ให้เปลี่ยนเรื่องคิดทันที
ให้หันมาคิดในแง่บวกแทนซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เกิดเองตามธรรมชาติจะต้องสร้างขึ้นมา
ทำใจยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความคิดที่เป็นอกุศลเช่น ความอิจฉาริษยา
ความอาฆาตพยาบาท ความมีอัตตาตัวตน และความยึดมั่นถือมั่น เป็นต้น
ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้รวมทั้งตัวเราเอง ทุกคนเท่าเทียมกันหมด
เราจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินผู้อื่นว่าถูกหรือผิด
หากเรายอมรับความเป็นจริงในข้อนี้ได้
เราจะรู้จักให้อภัยผู้อื่นและให้อภัยตัวเอง รู้จักสำรวมคำพูดและการกระทำมากขึ้น
พยายามประคับประคองความคิดที่ดีให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
5. คิดดูถูกผู้อื่น และชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา
ความคิดเหล่านี้จะทำให้เรามีจิตใจคับแคบ ไม่มีเมตตาต่อผู้อื่น
มีความเครียดเป็นอาจิณ วิธีแก้เอาใจเขามาใส่ใจเรา เลิกเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
หัดเข้าใจความคิดและอารมณ์ของผู้อื่นว่าทำไมเขาถึงพูดหรือทำเช่นนั้น
และถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา เราอาจจะทำแบบเดียวกับเขาก็ได้ เป็นต้น
ยอมรับว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่คิดเหมือนกับเรา ดังนั้น
การมีความคิดที่ขัดแย้งกันย่อมเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่มีใครถูกใครผิดหัดฟังมากกว่าพูด สักแต่รู้สักแต่เห็น
รับรู้ทุกอย่างแต่อย่าคิดต่อ
ไม่ต้องหาเหตุหาผลไปซะทุกเรื่องพิจารณาอารมณ์ของตนเองว่าในขณะนี้เราสุข ทุกข์
หรือเฉย ๆ เพื่อหยุดความคิดซึ่งป็นบ่อเกิดแห่งอัตตาตัวกูของกู
6. คิดเอาชนะผู้อื่น
การโต้เถียงเอาชนะผู้อื่นเพียงเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกต้องเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช้เหตุ
และยังเป็นการสร้างศัตรูโดยที่เราไม่รู้ตัว
วิธีแก้พูดเท่าที่จำเป็นพูดแต่สิ่งที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์
รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง หัดฟังมากกว่าพูด และเอาใจเขามาใส่ใจเรา
พยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ
หลีกเลี่ยงการโต้เถียงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
7. คิดทวงบุญคุณจากผู้อื่น
การทวงบุญคุณจะทำให้จิตใจคับแคบ เต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่พอใจ ลังเลสงสัย
จิตใจสกปรกขุ่นมัวเพราะเป็นการทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน
วิธีแก้ ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้ให้ในที่นี้คือตัวเรานั่นเอง
ควรให้เพราะอยากช่วยเหลือไม่ต้องมีตัวเขาเราท่าน
ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้รับ
คนไหนพอช่วยได้ให้ช่วยไปเลยไม่ต้องจำกัดว่าช่วยเพราะเป็นญาติเรา
หรือช่วยเพราะเขาทำดีกับเรา เป็นต้น ช่วยแล้วหันหลังกลับ ไม่หวังผลตอบแทน
8. คิดกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
การคิดวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจะทำให้จิตใจว้าวุ่น สับสน
เต็มไปด้วยความหวาดกลัว จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับปัจจุบัน
วิธีแก้ รู้เนื้อรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำแล้วเกิดผลอะไร
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คิดโกรธเกลียดหมั่นไส้ผู้อื่น ความโกรธ เกลียด รำคาญ
และไม่ชอบหน้าบุคคลที่เคยทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเป็นนิสัยที่เกิดได้กับมนุษย์ทุกคน
แต่เมื่อมีความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นในจิตใจเราควรระมัดระวังไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า
แววตา น้ำเสียง และการกระทำ นอกจากนั้น เราควรมองบุคคลเหล่านั้นในแง่บวกเช่น
คนที่ตำหนิติเตียนเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักทำงานให้เป็นระเบียบมากขึ้น
หรือคนนินทาว่าร้ายเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักวางตัว พูดเท่าที่จำเป็น
เพราะเขารู้เรื่องของเราหมดจึงเอาไปคุยกันจนสนุกปาก เป็นต้น
9. คิดน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง
การคิดน้อยใจในชะตากรรมของตัวเองเช่น เกิดมายากจน รูปร่างไม่ดี หน้าตาไม่สวย
เรียนหนังสือไม่เก่ง หรือทำอะไรก็สู้เขาไม่ได้ เป็นต้น
การคิดเช่นนี้นอกจากจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจตัวเองแล้วยังทำให้ชีวิตจมปลักไม่ก้าวหน้าไปไหน
เพราะมัวแต่ย้ำคิดย้ำทำแต่สิ่งเดิม ๆ
วิธีแก้ จงพอใจในสิ่งที่ตนมี และอย่าคิดเปรียบเทียบกับคนอื่น
ระลึกและจดจำในสิ่งดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้าง
รู้จักและยอมรับตนเองทั้งจุดเด่นและจุดด้อย
พัฒนาและใช้จุดเด่นของเราให้เป็นประโยชน์และปรับปรุงจุดด้อยหรือหาสิ่งอื่นมาทดแทน
เรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต
ลืมอดีตที่ขมขื่นเพื่อทำปัจจุบันให้ดีที่สุด คิดในแง่บวก
และพยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา
10. นิสัยมองโลกในแง่ร้ายและคิดว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว
การคิดเช่นนี้จะยิ่งเป็นการตอกย้ำความคิดในแง่ลบให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ
มองความจริงไม่ตรงตามความเป็นจริง ปัญหาเล็ก ๆ
ก็ตีโพยตีพายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต จิตใจคับแคบ
หาความสุขไม่ได้เพราะจะคอยจับผิดผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา
วิธีแก้คิดถึงประสบการณ์ดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้างเช่น
คิดถึงบุคคลที่มีบุญคุณหรือมีน้ำใจกับเรา เป็นต้นพยายามมองโลกในแง่บวก
อย่าปล่อยให้จิตมันคิดเอง
11. คิดว่าโลกนี้มีแต่ปัญหาเต็มไปหมด แก้เท่าไรก็ไม่หมดเสียที
การคิดเช่นนี้นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้วรังแต่จะเป็นตัวบ่อนทำลายกำลังใจของเราเองเสียอีก
วิธีแก้ ให้มองปัญหาเสมือนด่านทดสอบความอดทน ตัวฝึกฝนทักษะในการแก้ปัญหา
และเป็นแหล่งปัญญาที่หาไม่ได้จากในหนังสือ
มองปัญหาในแง่บวกว่ามันอาจจะเป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าก่อนที่ความหายนะจะเกิดขึ้นก็ได้
ปัญหาทำให้เราเห็นข้อบกพร่องที่เราอาจจะมองข้ามไป
มองปัญหาเป็นเรื่องธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบ อันไหนพอแก้ได้ก็ทำไปก่อน
คิดในแง่บวกและตั้งจิตว่าจะประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา
12. คิดว่าเราเก่งกว่าผู้อื่น ฉลาดกว่าผู้อื่น หรือร่ำรวยกว่าผู้อื่น
ความคิดเช่นนี้จะส่งผลให้พฤติกรรมที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความหยิ่งยะโสโอหัง
อวดดี ถือตัว มองผู้อื่นด้วยสายตาดูถูกดูแคลน วาจาจะรุนแรงและสามหาว
บุคคลรอบข้างจะรังเกียจ หมั่นไส้ และอิจฉาริษยา
ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว
วิธีแก้ ระมัดระวังคำพูด ความคิด และการกระทำ
ต้องมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา หัดมองตัวเอง เลิกเปรียบเทียบกับผู้อื่น
อยากวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น
13. การด่าทอ เหน็บแนม ประชดประชัน และวิพากษ์วิจารณ์
เป็นอกุศลวาจาที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับผู้อื่น
ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนั้น
ความคิดเหล่านี้ยังเป็นที่มาของความโกรธ ความเกลียด
และความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจมนุษย์อีกด้วย
วิธีแก้ คิดก่อนพูดและไม่ต้องพูดทุกอย่างที่เราคิด
ถ้าพูดแล้วไม่สร้างสรรค์นิ่งเสียจะดีกว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา
ในโลกนี้ไม่มีใครชอบถูกวิพากษ์วิจารณ์แม้แต่ตัวเราเอง
ที่มา : http://www.thaireaderclub.com
คุณค่าในตัวเอง
คุณค่าในตัวเอง
นักพูดที่เป็นที่รู้จักกันดีท่านหนึ่งได้เริ่มหยุดการสัมมนาของเขา
โดยการหยิบแบงค์ 20 ดอลลาร์ขึ้นมา
ในห้องที่มีผู้เข้าร่วม 200 ท่าน
แล้วเขาก็พูดว่า
"ใครอยากได้แบงค์ 20 นี้บ้าง?"
มีคนยกมือขึ้นเป็นจำนวนมาก
และเขาก็พูดต่อว่า
"ฉันจะให้เงินแบงค์ 20 นี้แก่หนึ่งในพวกท่าน
แต่ครั้งแรกนี้ฉันจะทำอย่างนี้
" เขาเริ่มที่จะขยำๆเงินนั้น แล้วเขาก็ถามอีกว่า
"ใครจะยังต้องการมันอีก"
ยังคงมีมือที่ยกขึ้นอีก
"ดี" เขาตอบ "แล้วถ้าฉันทำอย่างนี้ล่ะ"
และเขาก็ทิ้งมันลงที่พื้นและเริ่มที่เหยียบย่ำมันด้วยรองเท้าของเขา
แล้วเขาก็เก็บขึ้นมา ขณะนี้มันทั้งยับยู่ยี่และสกปรก
"ตอนนี้ ใครยังต้องการมันอีก" ก็ยังคงมีคนยกมืออีก
"เพื่อนๆคุณได้เรียนรู้บทเรียนที่มีคุณค่ามากที่สุดบทหนึ่งแล้วว่า
ไม่ว่าฉันจะทำอะไรกับเงิน คุณก็ยังต้องการมันอยู่
เพราะว่ามันไม่ได้ลดคุณค่าในตัวมันลงเลย มันก็ยังคงมีค่า 20 ดอลล์อยู่นั่นเอง
เหมือนกับหลายๆครั้งในชีวิตของเรา ที่ถูกทิ้ง,ถูกเหยียบย่ำ
และถูกทำให้สกปรกโดยสิ่งที่เราตัดสินใจทำมัน
และสภาพแวดล้อมที่เราเจอ
ทำให้เรารู้สึกว่าคุณค่าของเราลดน้อยลง
แต่ไม่ว่าอะไรที่ได้เกิดขึ้น
หรืออะไรที่จะเกิดขึ้น คุณไม่เคยสูญเสียคุณค่าของคุณ
คุณเป็นคนพิเศษ-อย่าลืมมันตลอดไป!"
" อย่านำความผิดหวังของเมื่อวาน มาบดบังความฝันในวันพรุ่งนี้"
ที่มา : http://www.thaireaderclub.com
นักพูดที่เป็นที่รู้จักกันดีท่านหนึ่งได้เริ่มหยุดการสัมมนาของเขา
โดยการหยิบแบงค์ 20 ดอลลาร์ขึ้นมา
ในห้องที่มีผู้เข้าร่วม 200 ท่าน
แล้วเขาก็พูดว่า
"ใครอยากได้แบงค์ 20 นี้บ้าง?"
มีคนยกมือขึ้นเป็นจำนวนมาก
และเขาก็พูดต่อว่า
"ฉันจะให้เงินแบงค์ 20 นี้แก่หนึ่งในพวกท่าน
แต่ครั้งแรกนี้ฉันจะทำอย่างนี้
" เขาเริ่มที่จะขยำๆเงินนั้น แล้วเขาก็ถามอีกว่า
"ใครจะยังต้องการมันอีก"
ยังคงมีมือที่ยกขึ้นอีก
"ดี" เขาตอบ "แล้วถ้าฉันทำอย่างนี้ล่ะ"
และเขาก็ทิ้งมันลงที่พื้นและเริ่มที่เหยียบย่ำมันด้วยรองเท้าของเขา
แล้วเขาก็เก็บขึ้นมา ขณะนี้มันทั้งยับยู่ยี่และสกปรก
"ตอนนี้ ใครยังต้องการมันอีก" ก็ยังคงมีคนยกมืออีก
"เพื่อนๆคุณได้เรียนรู้บทเรียนที่มีคุณค่ามากที่สุดบทหนึ่งแล้วว่า
ไม่ว่าฉันจะทำอะไรกับเงิน คุณก็ยังต้องการมันอยู่
เพราะว่ามันไม่ได้ลดคุณค่าในตัวมันลงเลย มันก็ยังคงมีค่า 20 ดอลล์อยู่นั่นเอง
เหมือนกับหลายๆครั้งในชีวิตของเรา ที่ถูกทิ้ง,ถูกเหยียบย่ำ
และถูกทำให้สกปรกโดยสิ่งที่เราตัดสินใจทำมัน
และสภาพแวดล้อมที่เราเจอ
ทำให้เรารู้สึกว่าคุณค่าของเราลดน้อยลง
แต่ไม่ว่าอะไรที่ได้เกิดขึ้น
หรืออะไรที่จะเกิดขึ้น คุณไม่เคยสูญเสียคุณค่าของคุณ
คุณเป็นคนพิเศษ-อย่าลืมมันตลอดไป!"
" อย่านำความผิดหวังของเมื่อวาน มาบดบังความฝันในวันพรุ่งนี้"
ที่มา : http://www.thaireaderclub.com
วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2551
ฟิสิกส์ ...กับ หัวใจ ^-^ ( สำหรับ เด็กวิทย์)
ฟิสิกส์ ...กับ หัวใจ ^-^ ( สำหรับ เด็กวิทย์)
นั่งอ่านหนังสืออยู่ดีๆ
ก็เริ่มปล่อยใจ
....
ใจอยู่นิ่งๆ
ปล่อยไปในแนวดิ่ง
ความเร็วต้นเท่าไหร่?
ใจอยู่ต่างกัน
ออกเดินไม่พร้อมกัน
กว่าใจจะพบกัน
ใช้เวลาเท่าไหร่?
ใจหนึ่งอยู่สูง
อีกใจอยู่ต่ำ
ใจที่อยู่ต่ำ
จะพบใจสูงได้ไหม?
ลองใช้สูตรคิดดู
1. v = u+gt ใช้เมื่อไม่สนใจ s
2. s = [v+u]/2 t ใช้เมื่อไม่สนใจ a
3. s= ut + 1/2gtt ใช้เมื่อไม่สนใจ v
4. vv = uu + 2as ใช้เมื่อไม่สนใจ t
....
ไม่มีสูตรไหนเลยที่ไม่สนใจ u
แสดงว่า u ต้องน่าสนใจ
....
ทุกสูตรสนใจ u
ทุกคนสนใจ u
Everybody like U ไม่เว้นแม้แต่ I
ที่มา : http://www.thaireaderclub.com/read.php?id=709
นั่งอ่านหนังสืออยู่ดีๆ
ก็เริ่มปล่อยใจ
....
ใจอยู่นิ่งๆ
ปล่อยไปในแนวดิ่ง
ความเร็วต้นเท่าไหร่?
ใจอยู่ต่างกัน
ออกเดินไม่พร้อมกัน
กว่าใจจะพบกัน
ใช้เวลาเท่าไหร่?
ใจหนึ่งอยู่สูง
อีกใจอยู่ต่ำ
ใจที่อยู่ต่ำ
จะพบใจสูงได้ไหม?
ลองใช้สูตรคิดดู
1. v = u+gt ใช้เมื่อไม่สนใจ s
2. s = [v+u]/2 t ใช้เมื่อไม่สนใจ a
3. s= ut + 1/2gtt ใช้เมื่อไม่สนใจ v
4. vv = uu + 2as ใช้เมื่อไม่สนใจ t
....
ไม่มีสูตรไหนเลยที่ไม่สนใจ u
แสดงว่า u ต้องน่าสนใจ
....
ทุกสูตรสนใจ u
ทุกคนสนใจ u
Everybody like U ไม่เว้นแม้แต่ I
ที่มา : http://www.thaireaderclub.com/read.php?id=709
ถ้าท้อเป็นเพียงถ่าน ถ้าผ่านจึงเป็นเพชร
ถ้าท้อเป็นเพียงถ่าน ถ้าผ่านจึงเป็นเพชร
สำหรับคนที่กำลังเหนื่อย หรือท้อแท้อ่ะน๊า..
เพชรมีค่ามากกว่าถ่านหลายล้านเท่า ทั้งๆที่เพชรเป็นธาตุคาร์บอนเหมือนกัน
ไม้ผ่านการอบการเผา ไม่นานก็กลายเป็นถ่าน
แต่เพชรผ่านความร้อน ไม่ต่ำกว่า 5,000 องศาฟาเรนไฮต์
ได้รับความกดดันมากกว่า 1 ล้านปอนด์ต่อตารางนิ้ว
ด้วยระยะเวลาอันยาวนาน จนกระทั่งกลายเป็นเพชร
เพชรที่เป็นเครื่องประดับอันงดงาม
พร้อมๆกับเป็นของที่มีความแข็งมากที่สุดในโลก
ถ้าท่านกำลังได้รับความกดดันอยู่ จงอดทน จงอดทน
ถ้าท่านกำลังถูกเคี่ยวถูกสับอยู่ ให้คิดว่าเพียงแค่นี้ว
จะทำให้เป้าหมายเราสั่นคลอนได้หรือ ?
ถ้าสถานการณ์กำลังบีบคั้น แสดงว่าชัยชนะกำลังรออยู่ข้างหน้า
ถ้ายังถูกโหมกระหน่ำอีกให้รู้ตัวว่า
ท่านกำลังใกล้จะเป็นเพชรเต็มที่แล้ว....
ในสถานการณ์เช่นนี้น หากหยุดคิดพิจารณาอย่างมีสติ
ย่อมจะเกิดปัญญาพบหนทางสว่างได้เสมอ
จงมุ่งมั่นอาจหาญสง่างาม เสมือนดั่งเพชร
แม้เพชรจะตกอยู่ในสภาวะทุกข์ยากลำบาก อ้างว้างและโดดเดี่ยว
แต่เพราะเพชรไม่เคยย่อท้อต่อสู้เรื่อยไป
ให้ถือว่าทุกอย่างเป็นบทเรียนและบทฝึกตัวเองเสมอ จนกาลเวลาผ่านไป
เพชรจึงภูมิใจในตัวของมันเอง และด้วยความอดทนถึงที่สุดนั่นเอง
เพชรจึงเป็นอัญมณีล้ำค่า ควรแก่การประดับมงกุฎของพระราชาผู้ยิ่งใหญ่
จากอดีต... ปัจจุบัน....ตลอดไปในอนาคต
ที่มา : http://www.thaireaderclub.com/read.php?id=717
สำหรับคนที่กำลังเหนื่อย หรือท้อแท้อ่ะน๊า..
เพชรมีค่ามากกว่าถ่านหลายล้านเท่า ทั้งๆที่เพชรเป็นธาตุคาร์บอนเหมือนกัน
ไม้ผ่านการอบการเผา ไม่นานก็กลายเป็นถ่าน
แต่เพชรผ่านความร้อน ไม่ต่ำกว่า 5,000 องศาฟาเรนไฮต์
ได้รับความกดดันมากกว่า 1 ล้านปอนด์ต่อตารางนิ้ว
ด้วยระยะเวลาอันยาวนาน จนกระทั่งกลายเป็นเพชร
เพชรที่เป็นเครื่องประดับอันงดงาม
พร้อมๆกับเป็นของที่มีความแข็งมากที่สุดในโลก
ถ้าท่านกำลังได้รับความกดดันอยู่ จงอดทน จงอดทน
ถ้าท่านกำลังถูกเคี่ยวถูกสับอยู่ ให้คิดว่าเพียงแค่นี้ว
จะทำให้เป้าหมายเราสั่นคลอนได้หรือ ?
ถ้าสถานการณ์กำลังบีบคั้น แสดงว่าชัยชนะกำลังรออยู่ข้างหน้า
ถ้ายังถูกโหมกระหน่ำอีกให้รู้ตัวว่า
ท่านกำลังใกล้จะเป็นเพชรเต็มที่แล้ว....
ในสถานการณ์เช่นนี้น หากหยุดคิดพิจารณาอย่างมีสติ
ย่อมจะเกิดปัญญาพบหนทางสว่างได้เสมอ
จงมุ่งมั่นอาจหาญสง่างาม เสมือนดั่งเพชร
แม้เพชรจะตกอยู่ในสภาวะทุกข์ยากลำบาก อ้างว้างและโดดเดี่ยว
แต่เพราะเพชรไม่เคยย่อท้อต่อสู้เรื่อยไป
ให้ถือว่าทุกอย่างเป็นบทเรียนและบทฝึกตัวเองเสมอ จนกาลเวลาผ่านไป
เพชรจึงภูมิใจในตัวของมันเอง และด้วยความอดทนถึงที่สุดนั่นเอง
เพชรจึงเป็นอัญมณีล้ำค่า ควรแก่การประดับมงกุฎของพระราชาผู้ยิ่งใหญ่
จากอดีต... ปัจจุบัน....ตลอดไปในอนาคต
ที่มา : http://www.thaireaderclub.com/read.php?id=717
Thought Experiment
Thought Experiment
สุดยอดแห่งการคิดคือไม่คิด สุดยอดแห่งการสอนคือไม่สอน สุดยอดแห่งการปกครองคือไร้การปกครอง
และสุดยอดแห่งอื่นๆอีกมาก
หลักอันสวยงามแห่งเต๋าเหล่านี้ปรากฎอยู่ในนิยายกำลังภายในหลากหลายเรื่อง
ประโยคที่ดังๆ ก็เช่น "ที่สุดแห่งวรยุทธ์กระบี่คือไร้กระบี่ ไร้กระบวนท่า"
บางคนก็ว่างลึกซึ้งคมคาย บ้างก็ว่าเล่นคำกวนประสาทไร้สาระ
ว่าแต่วิทยาศาสตร์ล่ะมองปรัชญา "สูงสุดคืนสู่สามัญ" นี้อย่างไร
นานมาแล้วมนุษย์เราเชื่อกันว่า
สิ่งที่เรียกว่า "เวลา" ไม่มีอยู่จริง และเรารู้สึกไปเองว่ามันมีอยู่
จนกระทั่งทฤษฏีของ ไอแซค นิวตันได้นำเวลามาคำนวณเรื่องการเคลื่อนที่อย่างเป็นรูปธรรม
คนเราจึงเชื่อว่าเวลามีอยู่จริง และไหลดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอทั้งจักรวาล
แล้วทฤษฏีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ก็กำเนิดมาสะเทือนจักรวาลโดยการมองว่าเวลา
เป็นเพียงมิติที่วางอยู่นิ่งๆ
พวกเราและจักรวาลต่างหากที่เคลื่อนที่ไปบนกาลเวลา
และในปัจจุบัน ทฤษฏี ควอนตัมกราวิตี้ กลับบอกนักฟิสิกส์ว่า
เวลาไม่มีความหมายเลย และแท้จริงแล้วเวลาอาจเป็นสิ่งที่ไม่มีจริงมาตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำ!!
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์บางทีก็วนกลับมาที่จุดเริ่มต้น
ทฤษฏีเรื่องแรงโน้มถ่วงก็ทำนองเดียวกัน
เดิมทีคนเราเชื่อว่าดวงดาวเป็นวัตถุบนสวรค์ที่ไร้ซึ่งน้ำหนักและมีคุณสมบัติแตกต่างจาก
วัตถุบนโลกโดยสิ้นเชิง
จนไอแซค นิวตันได้เสนอแนวคิดเรื่องแรงโน้มถ่วงมาประสานโลกกับสวรรค์เข้าด้วยกัน
ดวงดาวบนท้องฟ้าไม่ต่างไปจากก้อนหินที่ถูกแรงโน้มถ่วงดึงดูดไว้
และไอน์สไตล์คนเดิมได้เสนอแนวคิดเรื่องทฤษฏีสัมพันธภาพมองว่าอวกาศเกิดการโค้งงออย่างน่าพิศวง
ไม่จำเป็นต้องเข้าใจรายละเอียดทฤษฏีสัมพันธภาพได้กลืนแรงโน้มถ่วงให้หายไปในอวกาศอีกครั้ง
และปัจจุบัน บางทฤษฏีก็กลับมามองว่า แรงโน้มถ่วงมีอยู่จริงอีกรอบ!!
ศิลปะเองเมื่อเติบโตไปถึงระดับหนึ่งก็ซ้ำรอยไม่แพ้ประวัติศาสตร์
ภาพวาดในสมัยใหม่มักเน้นความเรียบง่ายและลดตัดทอนรูปแบบจนกลับไป
คล้ายภาพเขียนสมัยดึกดำบรรพ์
การออกแบบก็ก่อกำเนิดตึกรูปร่างเรียบๆ บ้างโชว์วัสดุปูนเปลือยไม่ต่างากพีระมิด
บทกลอนก็มีการละทิ้งสัมผัสกลายเป็นกลอนเปล่าที่กลับสู่ความบริสุทธิ์
คนเราก็เช่นกัน
เมื่อไปถึงที่สุดแห่งการเติบโตคือความชรา
เราจะกลับสู่สามัญเริ่มต้นคือการเป็นเด็กอีกครั้ง
ผู้เฒ่ามักมีธรรมชาติหลายอย่างคล้ายคลึงเด็กทารกจนน่าทึ่ง
ทั้งกระดูกที่ไม่แข๊งแรง การทรงตัวของร่างกายที่ไม่ดีนัก และการเคลื่อนไหวร่างกายที่ไม่คล่องแคล่ว
จะว่าไป
ระบบความคิดเป็นเหตุเป็นผลของมนุษย์มีการพัฒนาจนต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น
แต่ถ้าสุดยอดแห่งวิธีคิดด้วยเหตุผลคือ การไม่ใช้เหตุผลในการคิด
วันหนึ่งมนุษย์อาจวิวัฒนาการจนวิธีคิดด้วยเหตุผลตรรกะ ไม่เหลืออยู่ในเซลล์สมองเลย
แต่หันมาใช้สัญชาตญาณและสามัญสำนึกที่ไร้เหตุผลมาห่อหุ้มแทน
และเมื่อวันนั้นมาถึง อยากรู้เหมือนกันว่า
สุดยอดแห่งความไร้เหตุผลบนโลกที่มีแต่สัญชาตญาณและสามัญสำนึกนั้น
แท้จริงแล้วคือเหตุผลที่เราใช้กันทุกวันนี้รึเปล่า
ที่มา : http://www.thaireaderclub.com/read.php?id=911
สุดยอดแห่งการคิดคือไม่คิด สุดยอดแห่งการสอนคือไม่สอน สุดยอดแห่งการปกครองคือไร้การปกครอง
และสุดยอดแห่งอื่นๆอีกมาก
หลักอันสวยงามแห่งเต๋าเหล่านี้ปรากฎอยู่ในนิยายกำลังภายในหลากหลายเรื่อง
ประโยคที่ดังๆ ก็เช่น "ที่สุดแห่งวรยุทธ์กระบี่คือไร้กระบี่ ไร้กระบวนท่า"
บางคนก็ว่างลึกซึ้งคมคาย บ้างก็ว่าเล่นคำกวนประสาทไร้สาระ
ว่าแต่วิทยาศาสตร์ล่ะมองปรัชญา "สูงสุดคืนสู่สามัญ" นี้อย่างไร
นานมาแล้วมนุษย์เราเชื่อกันว่า
สิ่งที่เรียกว่า "เวลา" ไม่มีอยู่จริง และเรารู้สึกไปเองว่ามันมีอยู่
จนกระทั่งทฤษฏีของ ไอแซค นิวตันได้นำเวลามาคำนวณเรื่องการเคลื่อนที่อย่างเป็นรูปธรรม
คนเราจึงเชื่อว่าเวลามีอยู่จริง และไหลดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอทั้งจักรวาล
แล้วทฤษฏีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ก็กำเนิดมาสะเทือนจักรวาลโดยการมองว่าเวลา
เป็นเพียงมิติที่วางอยู่นิ่งๆ
พวกเราและจักรวาลต่างหากที่เคลื่อนที่ไปบนกาลเวลา
และในปัจจุบัน ทฤษฏี ควอนตัมกราวิตี้ กลับบอกนักฟิสิกส์ว่า
เวลาไม่มีความหมายเลย และแท้จริงแล้วเวลาอาจเป็นสิ่งที่ไม่มีจริงมาตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำ!!
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์บางทีก็วนกลับมาที่จุดเริ่มต้น
ทฤษฏีเรื่องแรงโน้มถ่วงก็ทำนองเดียวกัน
เดิมทีคนเราเชื่อว่าดวงดาวเป็นวัตถุบนสวรค์ที่ไร้ซึ่งน้ำหนักและมีคุณสมบัติแตกต่างจาก
วัตถุบนโลกโดยสิ้นเชิง
จนไอแซค นิวตันได้เสนอแนวคิดเรื่องแรงโน้มถ่วงมาประสานโลกกับสวรรค์เข้าด้วยกัน
ดวงดาวบนท้องฟ้าไม่ต่างไปจากก้อนหินที่ถูกแรงโน้มถ่วงดึงดูดไว้
และไอน์สไตล์คนเดิมได้เสนอแนวคิดเรื่องทฤษฏีสัมพันธภาพมองว่าอวกาศเกิดการโค้งงออย่างน่าพิศวง
ไม่จำเป็นต้องเข้าใจรายละเอียดทฤษฏีสัมพันธภาพได้กลืนแรงโน้มถ่วงให้หายไปในอวกาศอีกครั้ง
และปัจจุบัน บางทฤษฏีก็กลับมามองว่า แรงโน้มถ่วงมีอยู่จริงอีกรอบ!!
ศิลปะเองเมื่อเติบโตไปถึงระดับหนึ่งก็ซ้ำรอยไม่แพ้ประวัติศาสตร์
ภาพวาดในสมัยใหม่มักเน้นความเรียบง่ายและลดตัดทอนรูปแบบจนกลับไป
คล้ายภาพเขียนสมัยดึกดำบรรพ์
การออกแบบก็ก่อกำเนิดตึกรูปร่างเรียบๆ บ้างโชว์วัสดุปูนเปลือยไม่ต่างากพีระมิด
บทกลอนก็มีการละทิ้งสัมผัสกลายเป็นกลอนเปล่าที่กลับสู่ความบริสุทธิ์
คนเราก็เช่นกัน
เมื่อไปถึงที่สุดแห่งการเติบโตคือความชรา
เราจะกลับสู่สามัญเริ่มต้นคือการเป็นเด็กอีกครั้ง
ผู้เฒ่ามักมีธรรมชาติหลายอย่างคล้ายคลึงเด็กทารกจนน่าทึ่ง
ทั้งกระดูกที่ไม่แข๊งแรง การทรงตัวของร่างกายที่ไม่ดีนัก และการเคลื่อนไหวร่างกายที่ไม่คล่องแคล่ว
จะว่าไป
ระบบความคิดเป็นเหตุเป็นผลของมนุษย์มีการพัฒนาจนต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น
แต่ถ้าสุดยอดแห่งวิธีคิดด้วยเหตุผลคือ การไม่ใช้เหตุผลในการคิด
วันหนึ่งมนุษย์อาจวิวัฒนาการจนวิธีคิดด้วยเหตุผลตรรกะ ไม่เหลืออยู่ในเซลล์สมองเลย
แต่หันมาใช้สัญชาตญาณและสามัญสำนึกที่ไร้เหตุผลมาห่อหุ้มแทน
และเมื่อวันนั้นมาถึง อยากรู้เหมือนกันว่า
สุดยอดแห่งความไร้เหตุผลบนโลกที่มีแต่สัญชาตญาณและสามัญสำนึกนั้น
แท้จริงแล้วคือเหตุผลที่เราใช้กันทุกวันนี้รึเปล่า
ที่มา : http://www.thaireaderclub.com/read.php?id=911
ความจริงใจ...หาได้จากไหน ????
ความจริงใจ...หาได้จากไหน ????
คนเราทุกคนเกิดมา..บนโลกใบเล็กนี้..
ก็ล้วนปรารถนาที่จะได้..
>>>…ซึ่งความจริงใจ..
>>>…ที่แสดงออกต่อกัน..
>>>…ด้วยความบริสุทธิ์ใจ..
>>>…ไร้ซึ่งความอคติแห่งภาพมายา...
>>>…ที่ต่างฝ่ายต่างแสดงออกต่อกัน...
หากจะเปรียบความจริงใจ..
เหมือนกับธรรมชาติในโลกใบนี้...
ก็จะทำให้เราเห็นภาพแห่งความจริงใจ..ได้เป็นอย่างดี...
กับธรรมชาติที่แฝงไปด้วยข้อคิด..เตือนใจ..
๑. ความจริงใจเปรียบเสมือนกับพระอาทิตย์กับพระจันทร์
>>>…ที่ท่อแสงให้ความสว่างไสวแก่พื้นโลก
>>>…โดยไม่เลือกชนชั้น ไม่เลือกประเทศ
>>>…แต่ได้ทำหน้าที่ให้แสงสว่างตลอดทั้งวัน..ทั้งคืน..
>>>…บ้างก็ให้ความอบอุ่น...
>>>…บ้างก็ให้ความร้อนระอุ...
>>>…แล้วแต่ช่วงฤดูกาลและวันเวลา..
>>>…ของสถานที่ที่แตกต่าง
>>>…แต่ก็ได้ชื่อว่า...ให้แสงสว่างแก่พื้นโลก..
หากแม้ว่า...โลกใบนี้..
ปราศจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์..
>>>…โลกแห่งความมืดมน...
>>>…โลกก็จะถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด..
>>>…การดำเนินชีวิตของมวลมนุษยชาติ...ก็เกิดความยากลำบาก
หากแม้ว่า...โลกนี้..
ปราศจากซึ่งความจริงใจต่อกัน..
>>>…จิตใจของเรา...ก็คงมืดมน..ยากแก่การดำเนินชีวิตได้..
>>>…เพราะมวลมนุษยชาติ..
>>>…ต่างก็พึ่งพาอาศัยกัน...ช่วยเหลือ..แบ่งปันกัน..
๒. ความจริงใจเปรียบเสมือนกับสายน้ำและสายลม..
>>>…ที่ให้ความชุ่มชื่น...ชุ่มเย็น...
>>>…แก่มวลมนุษยชาติที่ไม่เลือกชนชั้น..วรรณะเผ่าพันธุ์..
สายน้ำ...ให้ความชุ่มชื่น...แก่ธรรมชาติ
สายลม...ให้ความชุ่มเย็น..แก่ธรรมชาติ..ฉันใด..
ความจริงใจ..
ก็ทำให้เกิดความชุ่มชื่น...แก่ผู้รับ..
และทำให้หัวใจของผู้กระทำ...เกิดความชื่นเย็น..ฉันนั้น...
๓. ความจริงใจเปรียบเสมือนกับพื้นดินและท้องฟ้า..
>>>…สิ่งที่อยู่สูงที่สุด...ก็คือ...ฟ้า
>>>…สิ่งที่อยู่ต่ำสุด......ก็คือ...ดิน
คนเรา...
ถ้ารู้จักที่จะให้ความจริงใจต่อกัน..
โดยไม่แบ่งชนชั้น..วรรณะเผ่าพันธุ์...ศาสนา..
>>>…หรือต่างเชื้อชาติ...
>>>…และให้ความจริงใจ...
>>>…โดยไม่มีประมาณ..ไม่มีที่สิ้นสุด...
ก็เหมือนกับแผ่นดิน...
ที่ให้ความมั่นคง..หนักแน่น..
เหมือนกับท้องฟ้า...
ที่ให้ความงดงาม..ที่ยิ่งใหญ่...ไพศาล..
หากเราได้ทำจิตใจของเรา..
ปรับใจของเราให้เหมือนกับธรรมชาติได้เช่นนี้แล้ว...
ก็ได้ชื่อว่า...
>>>…เป็นผู้หนึ่งที่พร้อมจะแบ่งปัน...ความจริงใจ...
>>>…หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความบริสุทธิ์ใจ...
>>>…ลงในหัวใจแห่งความปรารถนาดี...
>>>…ที่จะบังเกิดผล..เป็นความจริงใจ..
ถ้าเราทุกคน...
มอบความรัก..ความจริงใจ..
ที่แสดงออกด้วยความบริสุทธิ์ใจ..
เราก็ได้ชื่อว่า...
>>>…เป็นผู้ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น...
>>>…มีมาตรฐานแห่งความงดงามทางจิตใจ...
>>>…ที่เปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมขั้นสูง..ต่อไป..
บทความ...โดย..ชายน้อย...
ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/11097.html
คนเราทุกคนเกิดมา..บนโลกใบเล็กนี้..
ก็ล้วนปรารถนาที่จะได้..
>>>…ซึ่งความจริงใจ..
>>>…ที่แสดงออกต่อกัน..
>>>…ด้วยความบริสุทธิ์ใจ..
>>>…ไร้ซึ่งความอคติแห่งภาพมายา...
>>>…ที่ต่างฝ่ายต่างแสดงออกต่อกัน...
หากจะเปรียบความจริงใจ..
เหมือนกับธรรมชาติในโลกใบนี้...
ก็จะทำให้เราเห็นภาพแห่งความจริงใจ..ได้เป็นอย่างดี...
กับธรรมชาติที่แฝงไปด้วยข้อคิด..เตือนใจ..
๑. ความจริงใจเปรียบเสมือนกับพระอาทิตย์กับพระจันทร์
>>>…ที่ท่อแสงให้ความสว่างไสวแก่พื้นโลก
>>>…โดยไม่เลือกชนชั้น ไม่เลือกประเทศ
>>>…แต่ได้ทำหน้าที่ให้แสงสว่างตลอดทั้งวัน..ทั้งคืน..
>>>…บ้างก็ให้ความอบอุ่น...
>>>…บ้างก็ให้ความร้อนระอุ...
>>>…แล้วแต่ช่วงฤดูกาลและวันเวลา..
>>>…ของสถานที่ที่แตกต่าง
>>>…แต่ก็ได้ชื่อว่า...ให้แสงสว่างแก่พื้นโลก..
หากแม้ว่า...โลกใบนี้..
ปราศจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์..
>>>…โลกแห่งความมืดมน...
>>>…โลกก็จะถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด..
>>>…การดำเนินชีวิตของมวลมนุษยชาติ...ก็เกิดความยากลำบาก
หากแม้ว่า...โลกนี้..
ปราศจากซึ่งความจริงใจต่อกัน..
>>>…จิตใจของเรา...ก็คงมืดมน..ยากแก่การดำเนินชีวิตได้..
>>>…เพราะมวลมนุษยชาติ..
>>>…ต่างก็พึ่งพาอาศัยกัน...ช่วยเหลือ..แบ่งปันกัน..
๒. ความจริงใจเปรียบเสมือนกับสายน้ำและสายลม..
>>>…ที่ให้ความชุ่มชื่น...ชุ่มเย็น...
>>>…แก่มวลมนุษยชาติที่ไม่เลือกชนชั้น..วรรณะเผ่าพันธุ์..
สายน้ำ...ให้ความชุ่มชื่น...แก่ธรรมชาติ
สายลม...ให้ความชุ่มเย็น..แก่ธรรมชาติ..ฉันใด..
ความจริงใจ..
ก็ทำให้เกิดความชุ่มชื่น...แก่ผู้รับ..
และทำให้หัวใจของผู้กระทำ...เกิดความชื่นเย็น..ฉันนั้น...
๓. ความจริงใจเปรียบเสมือนกับพื้นดินและท้องฟ้า..
>>>…สิ่งที่อยู่สูงที่สุด...ก็คือ...ฟ้า
>>>…สิ่งที่อยู่ต่ำสุด......ก็คือ...ดิน
คนเรา...
ถ้ารู้จักที่จะให้ความจริงใจต่อกัน..
โดยไม่แบ่งชนชั้น..วรรณะเผ่าพันธุ์...ศาสนา..
>>>…หรือต่างเชื้อชาติ...
>>>…และให้ความจริงใจ...
>>>…โดยไม่มีประมาณ..ไม่มีที่สิ้นสุด...
ก็เหมือนกับแผ่นดิน...
ที่ให้ความมั่นคง..หนักแน่น..
เหมือนกับท้องฟ้า...
ที่ให้ความงดงาม..ที่ยิ่งใหญ่...ไพศาล..
หากเราได้ทำจิตใจของเรา..
ปรับใจของเราให้เหมือนกับธรรมชาติได้เช่นนี้แล้ว...
ก็ได้ชื่อว่า...
>>>…เป็นผู้หนึ่งที่พร้อมจะแบ่งปัน...ความจริงใจ...
>>>…หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความบริสุทธิ์ใจ...
>>>…ลงในหัวใจแห่งความปรารถนาดี...
>>>…ที่จะบังเกิดผล..เป็นความจริงใจ..
ถ้าเราทุกคน...
มอบความรัก..ความจริงใจ..
ที่แสดงออกด้วยความบริสุทธิ์ใจ..
เราก็ได้ชื่อว่า...
>>>…เป็นผู้ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น...
>>>…มีมาตรฐานแห่งความงดงามทางจิตใจ...
>>>…ที่เปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมขั้นสูง..ต่อไป..
บทความ...โดย..ชายน้อย...
ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/11097.html
วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2551
100 เมนูลัดบนคีย์บอร์ด
100 เมนูลัดบนคีย์บอร์ด
CTRL+C (Copy)
CTRL+X (Cut)
CTRL+V (Paste)
CTRL+Z (Undo)
DELETE (Delete)
SHIFT+DELETE (Delete the selected item permanently without placing the item in the Recycle Bin)
CTRL while dragging an item (Copy the selected item)
CTRL+SHIFT while dragging an item (Create a shortcut to the selected item)
F2 key (Rename the selected item)
CTRL+RIGHT ARROW (Move the insertion point to the beginning of the next word)
CTRL+LEFT ARROW (Move the insertion point to the beginning of the previous word)
CTRL+DOWN ARROW (Move the insertion point to the beginning of the next paragraph)
CTRL+UP ARROW (Move the insertion point to the beginning of the previous paragraph)
CTRL+SHIFT with any of the arrow keys (Highlight a block of text)
SHIFT with any of the arrow keys (Select more than one item in a window or on the desktop, or select text in a document)
CTRL+A (Select all)
F3 key (Search for a file or a folder)
ALT+ENTER (View the properties for the selected item)
ALT+F4 (Close the active item, or quit the active program)
ALT+ENTER (Display the properties of the selected object)
ALT+SPACEBAR (Open the shortcut menu for the active window)
CTRL+F4 (Close the active document in programs that enable you to have multiple documents open simultaneously)
ALT+TAB (Switch between the open items)
ALT+ESC (Cycle through items in the order that they had been opened)
F6 key (Cycle through the screen elements in a window or on the desktop)
F4 key (Display the Address bar list in My Computer or Windows Explorer)
SHIFT+F10 (Display the shortcut menu for the selected item)
ALT+SPACEBAR (Display the System menu for the active window)
CTRL+ESC (Display the Start menu)
ALT+Underlined letter in a menu name (Display the corresponding menu)
Underlined letter in a command name on an open menu (Perform the corresponding command)
F10 key (Activate the menu bar in the active program)
RIGHT ARROW (Open the next menu to the right, or open a submenu)
LEFT ARROW (Open the next menu to the left, or close a submenu)
F5 key (Update the active window)
BACKSPACE (View the folder one level up in My Computer or Windows Explorer)
ESC (Cancel the current task)
SHIFT when you insert a CD-ROM into the CD-ROM drive (Prevent the CD-ROM from automatically playing)
Dialog Box Keyboard Shortcuts
CTRL+TAB (Move forward through the tabs)
CTRL+SHIFT+TAB (Move backward through the tabs)
TAB (Move forward through the options)
SHIFT+TAB (Move backward through the options)
ALT+Underlined letter (Perform the corresponding command or select the corresponding option)
ENTER (Perform the command for the active option or button)
SPACEBAR (Select or clear the check box if the active option is a check box)
Arrow keys (Select a button if the active option is a group of option buttons)
F1 key (Display Help)
F4 key (Display the items in the active list)
BACKSPACE (Open a folder one level up if a folder is selected in the Save As or Open dialog box)
Microsoft Natural Keyboard Shortcuts
Windows Logo (Display or hide the Start menu)
Windows Logo+BREAK (Display the System Properties dialog box)
Windows Logo+D (Display the desktop)
Windows Logo+M (Minimize all of the windows)
Windows Logo+SHIFT+M (Restore the minimized windows)
Windows Logo+E (Open My Computer)
Windows Logo+F (Search for a file or a folder)
CTRL+Windows Logo+F (Search for computers)
Windows Logo+F1 (Display Windows Help)
Windows Logo+ L (Lock the keyboard)
Windows Logo+R (Open the Run dialog box)
Windows Logo+U (Open Utility Manager)
Accessibility Keyboard Shortcuts
Right SHIFT for eight seconds (Switch FilterKeys either on or off)
Left ALT+left SHIFT+PRINT SCREEN (Switch High Contrast either on or off)
Left ALT+left SHIFT+NUM LOCK (Switch the MouseKeys either on or off)
SHIFT five times (Switch the StickyKeys either on or off)
NUM LOCK for five seconds (Switch the ToggleKeys either on or off)
Windows Logo +U (Open Utility Manager)
Windows Explorer Keyboard Shortcuts
END (Display the bottom of the active window)
HOME (Display the top of the active window)
NUM LOCK+Asterisk sign (*) (Display all of the subfolders that are under the selected folder)
NUM LOCK+Plus sign (+) (Display the contents of the selected folder)
NUM LOCK+Minus sign (-) (Collapse the selected folder)
LEFT ARROW (Collapse the current selection if it is expanded, or select the parent folder)
RIGHT ARROW (Display the current selection if it is collapsed, or select the first subfolder)
Shortcut Keys for Character Map
After you double-click a character on the grid of characters, you can move through the grid by using the keyboard shortcuts:
RIGHT ARROW (Move to the right or to the beginning of the next line)
LEFT ARROW (Move to the left or to the end of the previous line)
UP ARROW (Move up one row)
DOWN ARROW (Move down one row)
PAGE UP (Move up one screen at a time)
PAGE DOWN (Move down one screen at a time)
HOME (Move to the beginning of the line)
END (Move to the end of the line)
CTRL+HOME (Move to the first character)
CTRL+END (Move to the last character)
SPACEBAR (Switch between Enlarged and Normal mode when a character is selected)
Microsoft Management Console (MMC) Main Window Keyboard Shortcuts
CTRL+O (Open a saved console)
CTRL+N (Open a new console)
CTRL+S (Save the open console)
CTRL+M (Add or remove a console item)
CTRL+W (Open a new window)
F5 key (Update the content of all console windows)
ALT+SPACEBAR (Display the MMC window menu)
ALT+F4 (Close the console)
ALT+A (Display the Action menu)
ALT+V (Display the View menu)
ALT+F (Display the File menu)
ALT+O (Display the Favorites menu)
MMC Console Window Keyboard Shortcuts
CTRL+P (Print the current page or active pane)
ALT+Minus sign (-) (Display the window menu for the active console window)
SHIFT+F10 (Display the Action shortcut menu for the selected item)
F1 key (Open the Help topic, if any, for the selected item)
F5 key (Update the content of all console windows)
CTRL+F10 (Maximize the active console window)
CTRL+F5 (Restore the active console window)
ALT+ENTER (Display the Properties dialog box, if any, for the selected item)
F2 key (Rename the selected item)
CTRL+F4 (Close the active console window. When a console has only one console window, this shortcut closes the console)
Remote Desktop Connection Navigation
CTRL+ALT+END (Open the Microsoft Windows NT Security dialog box)
ALT+PAGE UP (Switch between programs from left to right)
ALT+PAGE DOWN (Switch between programs from right to left)
ALT+INSERT (Cycle through the programs in most recently used order)
ALT+HOME (Display the Start menu)
CTRL+ALT+BREAK (Switch the client computer between a window and a full screen)
ALT+DELETE (Display the Windows menu)
CTRL+ALT+Minus sign (-) (Place a snapshot of the active window in the client on the Terminal server clipboard and provide the same functionality as pressing PRINT SCREEN on a local computer.)
CTRL+ALT+Plus sign (+) (Place a snapshot of the entire client window area on the Terminal server clipboard and provide the same functionality as pressing ALT+PRINT SCREEN on a local computer.)
Microsoft Internet Explorer Navigation
CTRL+B (Open the Organize Favorites dialog box)
CTRL+E (Open the Search bar)
CTRL+F (Start the Find utility)
CTRL+H (Open the History bar)
CTRL+I (Open the Favorites bar)
CTRL+L (Open the Open dialog box)
CTRL+N (Start another instance of the browser with the same Web address)
CTRL+O (Open the Open dialog box, the same as CTRL+L)
CTRL+P (Open the Print dialog box)
CTRL+R (Update the current Web page)
CTRL+W (Close the current window)
ที่มา : http://www.dek-d.com/content/view.php?id=4260
CTRL+C (Copy)
CTRL+X (Cut)
CTRL+V (Paste)
CTRL+Z (Undo)
DELETE (Delete)
SHIFT+DELETE (Delete the selected item permanently without placing the item in the Recycle Bin)
CTRL while dragging an item (Copy the selected item)
CTRL+SHIFT while dragging an item (Create a shortcut to the selected item)
F2 key (Rename the selected item)
CTRL+RIGHT ARROW (Move the insertion point to the beginning of the next word)
CTRL+LEFT ARROW (Move the insertion point to the beginning of the previous word)
CTRL+DOWN ARROW (Move the insertion point to the beginning of the next paragraph)
CTRL+UP ARROW (Move the insertion point to the beginning of the previous paragraph)
CTRL+SHIFT with any of the arrow keys (Highlight a block of text)
SHIFT with any of the arrow keys (Select more than one item in a window or on the desktop, or select text in a document)
CTRL+A (Select all)
F3 key (Search for a file or a folder)
ALT+ENTER (View the properties for the selected item)
ALT+F4 (Close the active item, or quit the active program)
ALT+ENTER (Display the properties of the selected object)
ALT+SPACEBAR (Open the shortcut menu for the active window)
CTRL+F4 (Close the active document in programs that enable you to have multiple documents open simultaneously)
ALT+TAB (Switch between the open items)
ALT+ESC (Cycle through items in the order that they had been opened)
F6 key (Cycle through the screen elements in a window or on the desktop)
F4 key (Display the Address bar list in My Computer or Windows Explorer)
SHIFT+F10 (Display the shortcut menu for the selected item)
ALT+SPACEBAR (Display the System menu for the active window)
CTRL+ESC (Display the Start menu)
ALT+Underlined letter in a menu name (Display the corresponding menu)
Underlined letter in a command name on an open menu (Perform the corresponding command)
F10 key (Activate the menu bar in the active program)
RIGHT ARROW (Open the next menu to the right, or open a submenu)
LEFT ARROW (Open the next menu to the left, or close a submenu)
F5 key (Update the active window)
BACKSPACE (View the folder one level up in My Computer or Windows Explorer)
ESC (Cancel the current task)
SHIFT when you insert a CD-ROM into the CD-ROM drive (Prevent the CD-ROM from automatically playing)
Dialog Box Keyboard Shortcuts
CTRL+TAB (Move forward through the tabs)
CTRL+SHIFT+TAB (Move backward through the tabs)
TAB (Move forward through the options)
SHIFT+TAB (Move backward through the options)
ALT+Underlined letter (Perform the corresponding command or select the corresponding option)
ENTER (Perform the command for the active option or button)
SPACEBAR (Select or clear the check box if the active option is a check box)
Arrow keys (Select a button if the active option is a group of option buttons)
F1 key (Display Help)
F4 key (Display the items in the active list)
BACKSPACE (Open a folder one level up if a folder is selected in the Save As or Open dialog box)
Microsoft Natural Keyboard Shortcuts
Windows Logo (Display or hide the Start menu)
Windows Logo+BREAK (Display the System Properties dialog box)
Windows Logo+D (Display the desktop)
Windows Logo+M (Minimize all of the windows)
Windows Logo+SHIFT+M (Restore the minimized windows)
Windows Logo+E (Open My Computer)
Windows Logo+F (Search for a file or a folder)
CTRL+Windows Logo+F (Search for computers)
Windows Logo+F1 (Display Windows Help)
Windows Logo+ L (Lock the keyboard)
Windows Logo+R (Open the Run dialog box)
Windows Logo+U (Open Utility Manager)
Accessibility Keyboard Shortcuts
Right SHIFT for eight seconds (Switch FilterKeys either on or off)
Left ALT+left SHIFT+PRINT SCREEN (Switch High Contrast either on or off)
Left ALT+left SHIFT+NUM LOCK (Switch the MouseKeys either on or off)
SHIFT five times (Switch the StickyKeys either on or off)
NUM LOCK for five seconds (Switch the ToggleKeys either on or off)
Windows Logo +U (Open Utility Manager)
Windows Explorer Keyboard Shortcuts
END (Display the bottom of the active window)
HOME (Display the top of the active window)
NUM LOCK+Asterisk sign (*) (Display all of the subfolders that are under the selected folder)
NUM LOCK+Plus sign (+) (Display the contents of the selected folder)
NUM LOCK+Minus sign (-) (Collapse the selected folder)
LEFT ARROW (Collapse the current selection if it is expanded, or select the parent folder)
RIGHT ARROW (Display the current selection if it is collapsed, or select the first subfolder)
Shortcut Keys for Character Map
After you double-click a character on the grid of characters, you can move through the grid by using the keyboard shortcuts:
RIGHT ARROW (Move to the right or to the beginning of the next line)
LEFT ARROW (Move to the left or to the end of the previous line)
UP ARROW (Move up one row)
DOWN ARROW (Move down one row)
PAGE UP (Move up one screen at a time)
PAGE DOWN (Move down one screen at a time)
HOME (Move to the beginning of the line)
END (Move to the end of the line)
CTRL+HOME (Move to the first character)
CTRL+END (Move to the last character)
SPACEBAR (Switch between Enlarged and Normal mode when a character is selected)
Microsoft Management Console (MMC) Main Window Keyboard Shortcuts
CTRL+O (Open a saved console)
CTRL+N (Open a new console)
CTRL+S (Save the open console)
CTRL+M (Add or remove a console item)
CTRL+W (Open a new window)
F5 key (Update the content of all console windows)
ALT+SPACEBAR (Display the MMC window menu)
ALT+F4 (Close the console)
ALT+A (Display the Action menu)
ALT+V (Display the View menu)
ALT+F (Display the File menu)
ALT+O (Display the Favorites menu)
MMC Console Window Keyboard Shortcuts
CTRL+P (Print the current page or active pane)
ALT+Minus sign (-) (Display the window menu for the active console window)
SHIFT+F10 (Display the Action shortcut menu for the selected item)
F1 key (Open the Help topic, if any, for the selected item)
F5 key (Update the content of all console windows)
CTRL+F10 (Maximize the active console window)
CTRL+F5 (Restore the active console window)
ALT+ENTER (Display the Properties dialog box, if any, for the selected item)
F2 key (Rename the selected item)
CTRL+F4 (Close the active console window. When a console has only one console window, this shortcut closes the console)
Remote Desktop Connection Navigation
CTRL+ALT+END (Open the Microsoft Windows NT Security dialog box)
ALT+PAGE UP (Switch between programs from left to right)
ALT+PAGE DOWN (Switch between programs from right to left)
ALT+INSERT (Cycle through the programs in most recently used order)
ALT+HOME (Display the Start menu)
CTRL+ALT+BREAK (Switch the client computer between a window and a full screen)
ALT+DELETE (Display the Windows menu)
CTRL+ALT+Minus sign (-) (Place a snapshot of the active window in the client on the Terminal server clipboard and provide the same functionality as pressing PRINT SCREEN on a local computer.)
CTRL+ALT+Plus sign (+) (Place a snapshot of the entire client window area on the Terminal server clipboard and provide the same functionality as pressing ALT+PRINT SCREEN on a local computer.)
Microsoft Internet Explorer Navigation
CTRL+B (Open the Organize Favorites dialog box)
CTRL+E (Open the Search bar)
CTRL+F (Start the Find utility)
CTRL+H (Open the History bar)
CTRL+I (Open the Favorites bar)
CTRL+L (Open the Open dialog box)
CTRL+N (Start another instance of the browser with the same Web address)
CTRL+O (Open the Open dialog box, the same as CTRL+L)
CTRL+P (Open the Print dialog box)
CTRL+R (Update the current Web page)
CTRL+W (Close the current window)
ที่มา : http://www.dek-d.com/content/view.php?id=4260
วันแรก...ของวันที่เหลือ
วันแรก...ของวันที่เหลือ
ปรัชญาเต๋า; บอกว่า "คนเราไม่เคยนึกถึงตีนเมื่อรองเท้าไม่กัด"
คนเรามักมองไม่เห็นของดีที่ตนมีอยู่จนเมื่อสูญเสียมันไปแล้ว
ไม่เห็นคุณค่าของสองแขน จนกระทั่งมันอยู่ในเฝือก
ไม่เห็นคุณค่าของงาน (ที่เราว่าแย่ๆ) จนกระทั่งตกงาน
ไม่เห็นคุณค่าคนรัก (ที่เราว่าไม่เพอร์เฟ็กท์)
จนกระทั่งเธอหรือเขาไปแต่งงานกับคนอื่น
ไม่เห็นคุณค่าของพ่อแม่ (ที่เราว่าขี้บ่น) จนกระทั่งไปงานศพของท่าน
สิ่งที่คนจำนวนมากเลือกทำคือ บ่นว่าตนเองไม่มีความสุข ไม่ประสบความสำเร็จ
ไม่รวย ไม่ได้เป็นเจ้าของสิ่งนั้นสิ่งนี้ และเอ่ยประโยคยอดฮิตว่า
"มันไม่แฟร์เลย"
บางที ทุกครั้งที่เรารู้สึกว่าโลกไม่มีความยุติธรรม ก่อนที่เราจะบ่น
ลองมองตัวเราเองดูดีๆ เราจะพบว่า เรามีอะไรดีๆ หลายอย่างที่คนอื่นไม่มี
เราสามารถทำ "หนึ่งวันเดียวกัน" ของเราให้มีความหมายได้
ก็ต่อเมื่อเราเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามี และใช้วันนี้
วันแรกของวันที่เหลืออย่างคุ้มค่าที่สุด
เพราะวันแรกของชีวิตที่เหลือนี้ช่างสั้นเหลือเกิน
และเพราะเราไม่มีทางรู้ว่าเรามี "วันแรกของวันที่เหลือ" อยู่อีกสักกี่วัน
ที่มา : http://www.dek-d.com/content/view.php?id=8247
ปรัชญาเต๋า; บอกว่า "คนเราไม่เคยนึกถึงตีนเมื่อรองเท้าไม่กัด"
คนเรามักมองไม่เห็นของดีที่ตนมีอยู่จนเมื่อสูญเสียมันไปแล้ว
ไม่เห็นคุณค่าของสองแขน จนกระทั่งมันอยู่ในเฝือก
ไม่เห็นคุณค่าของงาน (ที่เราว่าแย่ๆ) จนกระทั่งตกงาน
ไม่เห็นคุณค่าคนรัก (ที่เราว่าไม่เพอร์เฟ็กท์)
จนกระทั่งเธอหรือเขาไปแต่งงานกับคนอื่น
ไม่เห็นคุณค่าของพ่อแม่ (ที่เราว่าขี้บ่น) จนกระทั่งไปงานศพของท่าน
สิ่งที่คนจำนวนมากเลือกทำคือ บ่นว่าตนเองไม่มีความสุข ไม่ประสบความสำเร็จ
ไม่รวย ไม่ได้เป็นเจ้าของสิ่งนั้นสิ่งนี้ และเอ่ยประโยคยอดฮิตว่า
"มันไม่แฟร์เลย"
บางที ทุกครั้งที่เรารู้สึกว่าโลกไม่มีความยุติธรรม ก่อนที่เราจะบ่น
ลองมองตัวเราเองดูดีๆ เราจะพบว่า เรามีอะไรดีๆ หลายอย่างที่คนอื่นไม่มี
เราสามารถทำ "หนึ่งวันเดียวกัน" ของเราให้มีความหมายได้
ก็ต่อเมื่อเราเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามี และใช้วันนี้
วันแรกของวันที่เหลืออย่างคุ้มค่าที่สุด
เพราะวันแรกของชีวิตที่เหลือนี้ช่างสั้นเหลือเกิน
และเพราะเราไม่มีทางรู้ว่าเรามี "วันแรกของวันที่เหลือ" อยู่อีกสักกี่วัน
ที่มา : http://www.dek-d.com/content/view.php?id=8247
วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2551
ฤาแรกเริ่มกำเนิดจักรวาล "เสียง" เคลื่อนที่เร็วเท่า "แสง"?
ฤาแรกเริ่มกำเนิดจักรวาล "เสียง" เคลื่อนที่เร็วเท่า "แสง"?
นิวไซแอนทิสต์ - นักฟิสิกส์อังกฤษออกมาระบุเมื่อแรกกำเนิดจักรวาล "เสียง" อาจมีความเร็วเท่า "แสง" ซึ่งข้อสันนิษฐานนี้จะช่วยอธิบายได้ทั้งเรื่องการก่อตัวของกาแลกซีและคำถามว่าทำไมขอบเอกภพถึงได้กว้างใหญ่นัก
หนึ่งในหลายปัญหาที่นักจักรวาลวิทยาพยายามอธิบาย เกี่ยวกับการก่อตัวของเอกภพคือ "ปัญหาขอบฟ้าจักรวาล" (horizon problem) ซึ่ง ดร.อรรถกฤต ฉัตรภูติ อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่าปัญหาดังกล่าวเกี่ยวข้องกับความสม่ำเสมอของคลื่นไมโครเวฟพื้นหลังหรือ CMB (Comic Microwave Background Radiation) ที่เกิดขึ้นหลังจากระเบิดครั้งใหญ่ "บิกแบง" (Big Bang) โดยนักดาราศาสตร์พบอุณหภูมิของคลื่นรังสีนี้ประมาณ 2.7 เคลวินเกือบเท่ากันทั้งอวกาศและมีค่าเท่ากันในทุกทิศทางที่วัด
"ความจริงจากการสังเกตนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะยืนยันความสม่ำเสมอเป็นเนื้อเดียวกันตลอดทั้งจักรวาล แต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อเราพยายามอธิบายว่าเอกภพมีความสม่ำเสมอเช่นนี้ได้อย่างไร อาณาบริเวณที่ห่างไกลกันมากในเอกภพสามารถปรับอุณหภูมิให้เท่ากันได้อย่างไร"
"นักฟิสิกส์บางคนพยายามตอบปัญหานี้โดยใช้ทฤษฎีบิกแบงว่า เมื่อย้อนไปในอดีตกาลขณะที่อาณาบริเวณต่างๆ ใกล้กันมากกว่านี้อุณหภูมิก็ถูกทำให้เท่ากันได้แต่คำอธิบายนี้ก็ล้มเหลว ถ้าเรายิ่งย้อนเวลากลับไปมากเท่าไหร่อาณาบริเวณต่างๆ ยิ่งเข้าใกล้กันมากขึ้น แต่เวลาที่ใช้ในการสื่อสารก็น้อยลงตามไปด้วย และไม่เพียงพอสำหรับการแลกเปลี่ยนความร้อนเพื่อให้เข้าสู่ภาวะสมดุล" ดร.อรรถกฤตอธิบาย
สำหรับทฤษฎีซึ่งได้รับการยอมรับมากที่สุด สำหรับการอธิบายปัญหาขอบฟ้าจักรวาลนี้ก็คือ แนวคิดที่เรียกว่าจักรวาลวิทยาแบบอินเฟลชัน (Inflationary Cosmology) ซึ่งอธิบายว่า ในช่วงเอกภพแรกเกิดจะมีช่วงเวลาสั้นๆ ที่ความโน้มถ่วงทำหน้าที่เป็นแรงผลัก และขับเคลื่อนให้อวกาศขยายตัวด้วยอัตราเร่งมหาศาล
จากการคำนวณ หากช่วงเวลาดังกล่าวมีการผลักให้จักรวาลขยายตัว 1030-1060 เท่า ทุกบริเวณในอวกาศที่เราเห็นได้ในขณะนี้ จะติดต่อกันได้ง่ายดาย สามารถถ่ายเทความร้อนระหว่างกันและทำให้มีอุณหภูมิเท่ากันตั้งแต่เสี้ยววินาทีแรกสุดของเอกภพ
"กล่าวสรุปโดยย่อก็คือ หลังจากบิกแบงอวกาศขยายตัวอย่างช้าๆ ในช่วงแรกเริ่มพอที่จะให้มีอุณหภูมิเท่ากันในทุกส่วน และจากนั้นจึงเกิดกระบวนการอินเฟลชัน (ขยายตัว) ทำให้อวกาศเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว และผลักดันให้บริเวณที่เคยอยู่ใกล้กันต้องกระจัดกระจายห่างกันออกไป นั่นคือวิธีที่จักรวาลวิทยาแบบอินเฟลชันอธิบายว่า ความสม่ำเสมอของคลื่นไมโครเวฟพื้นหลังที่กระจายอยู่ทั่วอวกาศและดูเหมือนเป็นความมหัศจรรย์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร" ดร.อรรถกฤตกล่าว
หากแต่โจอา มากูเอโจ (Joao Magueijo) นักจักรวาลวิทยาเชื้อสายโปรตุเกสจากมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน (Imperial College London) ในอังกฤษ มีความเห็นที่ต่างออกไป ในการนำเสนอแนวคิดอธิบายว่าเหตุใดอุณหภูมิของคลื่นรังสีพื้นหลังจึงสม่ำเสมอทั่วกัน
ทั้งนี้เมื่อปลายทศวรรษ 1990 เขาและนักวิจัยอีกส่วนหนึ่งเสนอว่า หากแสงเดินทางได้เร็วกว่านี้จะทำให้มีการแลกเปลี่ยนพลังงานระหว่างบริเวณต่างๆ ได้ครอบคลุม แต่ก็มีปัญหาว่าแสงที่มีความเร็วเพิ่มขึ้นนี้ ไม่สามารถทำให้เกิดความผันผวนของอุณหภูมิ (fluctuation) ซึ่งเชื่อว่าทำให้เกิดการก่อตัวของกาแลกซี และทฤษฎีอินเฟลชันสามารถอธิบายได้ดีกว่าในประเด็นนี้
ล่าสุดมากูเอโจจึงได้หันมาศึกษาว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากเสียงในยุคแรกเริ่มของเอกภพมีความเร็วมากกว่านี้หรืออาจจะมากกว่าความเร็วแสง คลื่นเสียงเหล่านี้ก็ได้เดินทางผ่านพลาสมาของก๊าซในเอกภพเมื่อแรกเกิด และสามารถแลกเปลี่ยนพลังงานระหว่างบริเวณที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงได้
กลายเป็นว่าเสียงที่มีความเร็วมากนี้ อาจจะช่วยแก้ปัญหาแห่งขอบฟ้าจักรวาลได้เหมือนกรณีที่เขาเคยใช้กับกรณีของแสงที่มีความเร็วสูงได้
เขาพบว่าหากความเร็วของเสียงลดต่ำลงอย่างทันทีทันใด ก็จะทำให้เกิดความผันผวนเล็กๆ ได้ โดยการคำนวณได้แสดงให้เห็นว่าความผันผวนดังกล่าว เป็นเพียงสิ่งที่ถูกประทับบนคลื่นไมโครเวฟพื้นหลัง ทั้งนี้การสังเกตจะช่วยทดสอบแนวคิดเขาได้
อย่างไรก็ดีแบบจำลองความเร็วเสียงสูงของเขานั้น ไม่ได้ทำนายถึงการมีอยู่ของคลื่นความโน้มถ่วง ซึ่งต่างจากแบบจำลองการขยายตัวแบบอินเฟลชันทั้งหลาย ซึ่งทางแอนดริว ลิดเดิล (Andrew Liddle) นักจักรวาลวิทยาจากมหาวิทยาลัยซัสเซ็กซ์ (University of Sussex) สหราชอาณาจักรให้ความเห็นว่า จุดบอดนี้เองชักนำให้ทฤษฎีของมากูเอโจผิดพลาดได้มาก
ลิดเดิลให้ความเห็นในเชิงว่า มากูเอโจเคยมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องความเร็วของแสงที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าไม่น่ามีความเร็วมากกว่า และครั้งนี้เขาก็มาศึกษาเรื่องเสียงที่มีความเร็วมากกว่าแสง ซึ่งท้ายสุดแล้วเรื่องนี้อาจจะลงที่ปัญหาในเรื่องความเร็วอีกครั้งก็เป็นได้.
ที่มา : http://my.dek-d.com/AngelTVXQ/story/viewlongc.php?id=404229&chapter=84
นิวไซแอนทิสต์ - นักฟิสิกส์อังกฤษออกมาระบุเมื่อแรกกำเนิดจักรวาล "เสียง" อาจมีความเร็วเท่า "แสง" ซึ่งข้อสันนิษฐานนี้จะช่วยอธิบายได้ทั้งเรื่องการก่อตัวของกาแลกซีและคำถามว่าทำไมขอบเอกภพถึงได้กว้างใหญ่นัก
หนึ่งในหลายปัญหาที่นักจักรวาลวิทยาพยายามอธิบาย เกี่ยวกับการก่อตัวของเอกภพคือ "ปัญหาขอบฟ้าจักรวาล" (horizon problem) ซึ่ง ดร.อรรถกฤต ฉัตรภูติ อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่าปัญหาดังกล่าวเกี่ยวข้องกับความสม่ำเสมอของคลื่นไมโครเวฟพื้นหลังหรือ CMB (Comic Microwave Background Radiation) ที่เกิดขึ้นหลังจากระเบิดครั้งใหญ่ "บิกแบง" (Big Bang) โดยนักดาราศาสตร์พบอุณหภูมิของคลื่นรังสีนี้ประมาณ 2.7 เคลวินเกือบเท่ากันทั้งอวกาศและมีค่าเท่ากันในทุกทิศทางที่วัด
"ความจริงจากการสังเกตนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะยืนยันความสม่ำเสมอเป็นเนื้อเดียวกันตลอดทั้งจักรวาล แต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อเราพยายามอธิบายว่าเอกภพมีความสม่ำเสมอเช่นนี้ได้อย่างไร อาณาบริเวณที่ห่างไกลกันมากในเอกภพสามารถปรับอุณหภูมิให้เท่ากันได้อย่างไร"
"นักฟิสิกส์บางคนพยายามตอบปัญหานี้โดยใช้ทฤษฎีบิกแบงว่า เมื่อย้อนไปในอดีตกาลขณะที่อาณาบริเวณต่างๆ ใกล้กันมากกว่านี้อุณหภูมิก็ถูกทำให้เท่ากันได้แต่คำอธิบายนี้ก็ล้มเหลว ถ้าเรายิ่งย้อนเวลากลับไปมากเท่าไหร่อาณาบริเวณต่างๆ ยิ่งเข้าใกล้กันมากขึ้น แต่เวลาที่ใช้ในการสื่อสารก็น้อยลงตามไปด้วย และไม่เพียงพอสำหรับการแลกเปลี่ยนความร้อนเพื่อให้เข้าสู่ภาวะสมดุล" ดร.อรรถกฤตอธิบาย
สำหรับทฤษฎีซึ่งได้รับการยอมรับมากที่สุด สำหรับการอธิบายปัญหาขอบฟ้าจักรวาลนี้ก็คือ แนวคิดที่เรียกว่าจักรวาลวิทยาแบบอินเฟลชัน (Inflationary Cosmology) ซึ่งอธิบายว่า ในช่วงเอกภพแรกเกิดจะมีช่วงเวลาสั้นๆ ที่ความโน้มถ่วงทำหน้าที่เป็นแรงผลัก และขับเคลื่อนให้อวกาศขยายตัวด้วยอัตราเร่งมหาศาล
จากการคำนวณ หากช่วงเวลาดังกล่าวมีการผลักให้จักรวาลขยายตัว 1030-1060 เท่า ทุกบริเวณในอวกาศที่เราเห็นได้ในขณะนี้ จะติดต่อกันได้ง่ายดาย สามารถถ่ายเทความร้อนระหว่างกันและทำให้มีอุณหภูมิเท่ากันตั้งแต่เสี้ยววินาทีแรกสุดของเอกภพ
"กล่าวสรุปโดยย่อก็คือ หลังจากบิกแบงอวกาศขยายตัวอย่างช้าๆ ในช่วงแรกเริ่มพอที่จะให้มีอุณหภูมิเท่ากันในทุกส่วน และจากนั้นจึงเกิดกระบวนการอินเฟลชัน (ขยายตัว) ทำให้อวกาศเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว และผลักดันให้บริเวณที่เคยอยู่ใกล้กันต้องกระจัดกระจายห่างกันออกไป นั่นคือวิธีที่จักรวาลวิทยาแบบอินเฟลชันอธิบายว่า ความสม่ำเสมอของคลื่นไมโครเวฟพื้นหลังที่กระจายอยู่ทั่วอวกาศและดูเหมือนเป็นความมหัศจรรย์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร" ดร.อรรถกฤตกล่าว
หากแต่โจอา มากูเอโจ (Joao Magueijo) นักจักรวาลวิทยาเชื้อสายโปรตุเกสจากมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน (Imperial College London) ในอังกฤษ มีความเห็นที่ต่างออกไป ในการนำเสนอแนวคิดอธิบายว่าเหตุใดอุณหภูมิของคลื่นรังสีพื้นหลังจึงสม่ำเสมอทั่วกัน
ทั้งนี้เมื่อปลายทศวรรษ 1990 เขาและนักวิจัยอีกส่วนหนึ่งเสนอว่า หากแสงเดินทางได้เร็วกว่านี้จะทำให้มีการแลกเปลี่ยนพลังงานระหว่างบริเวณต่างๆ ได้ครอบคลุม แต่ก็มีปัญหาว่าแสงที่มีความเร็วเพิ่มขึ้นนี้ ไม่สามารถทำให้เกิดความผันผวนของอุณหภูมิ (fluctuation) ซึ่งเชื่อว่าทำให้เกิดการก่อตัวของกาแลกซี และทฤษฎีอินเฟลชันสามารถอธิบายได้ดีกว่าในประเด็นนี้
ล่าสุดมากูเอโจจึงได้หันมาศึกษาว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากเสียงในยุคแรกเริ่มของเอกภพมีความเร็วมากกว่านี้หรืออาจจะมากกว่าความเร็วแสง คลื่นเสียงเหล่านี้ก็ได้เดินทางผ่านพลาสมาของก๊าซในเอกภพเมื่อแรกเกิด และสามารถแลกเปลี่ยนพลังงานระหว่างบริเวณที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงได้
กลายเป็นว่าเสียงที่มีความเร็วมากนี้ อาจจะช่วยแก้ปัญหาแห่งขอบฟ้าจักรวาลได้เหมือนกรณีที่เขาเคยใช้กับกรณีของแสงที่มีความเร็วสูงได้
เขาพบว่าหากความเร็วของเสียงลดต่ำลงอย่างทันทีทันใด ก็จะทำให้เกิดความผันผวนเล็กๆ ได้ โดยการคำนวณได้แสดงให้เห็นว่าความผันผวนดังกล่าว เป็นเพียงสิ่งที่ถูกประทับบนคลื่นไมโครเวฟพื้นหลัง ทั้งนี้การสังเกตจะช่วยทดสอบแนวคิดเขาได้
อย่างไรก็ดีแบบจำลองความเร็วเสียงสูงของเขานั้น ไม่ได้ทำนายถึงการมีอยู่ของคลื่นความโน้มถ่วง ซึ่งต่างจากแบบจำลองการขยายตัวแบบอินเฟลชันทั้งหลาย ซึ่งทางแอนดริว ลิดเดิล (Andrew Liddle) นักจักรวาลวิทยาจากมหาวิทยาลัยซัสเซ็กซ์ (University of Sussex) สหราชอาณาจักรให้ความเห็นว่า จุดบอดนี้เองชักนำให้ทฤษฎีของมากูเอโจผิดพลาดได้มาก
ลิดเดิลให้ความเห็นในเชิงว่า มากูเอโจเคยมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องความเร็วของแสงที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าไม่น่ามีความเร็วมากกว่า และครั้งนี้เขาก็มาศึกษาเรื่องเสียงที่มีความเร็วมากกว่าแสง ซึ่งท้ายสุดแล้วเรื่องนี้อาจจะลงที่ปัญหาในเรื่องความเร็วอีกครั้งก็เป็นได้.
ที่มา : http://my.dek-d.com/AngelTVXQ/story/viewlongc.php?id=404229&chapter=84
สก็อตช์เทป ทำไมจึงเรียกว่า สก็อตช์เทป
สก็อตช์เทป ทำไมจึงเรียกว่า สก็อตช์เทป
สก๊อตช์เทปดั้งเดิมของแท้นั้นทำมาจากบริษัท 3M ชื่อนี้ถ้าเขียน เต็ม ๆ ก็จะยาวมากคือ Minnesota Mining and Manufacturing Company หากแปลความหมายก็คือบริษัทผู้ผลิตและทำเหมืองมินเนโซตา คำว่า มินเนโซตานั้น เป็นชื่อรัฐทางตอนเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกา
ดูตามชื่อแล้วบริษัท 3M ไม่น่าจะมาเป็นผู้ผลิตสก๊อตช์เทปขายจนร่ำรวยได้ นั่นเป็นความจริง เพราะในตอนแรกบริษัทนี้ ตั้งขึ้นเพื่อจะทำเหมือน โครันดัม (corundum) ซึ่งใช้สำหรับเป็นสารขัดถู การตั้งบริษัทนั้นต้องใช้เวลานานมาก และกว่าจะดำเนินการได้ก็พอดี มีนักวิทยาศาสตร์ชื่อ เอ็ดเวิรด กูดริช อาชีสัน ได้ค้นพบ สารขัดถูเทียมที่เรียกว่า คาร์โบรันดัม (carborundum) ได้ พอดีกันกับที่บริษัท ก็ค้นพบว่า โครันดัม ที่หมายมั่นปั้นมือว่า จะมาขุดทำเหมืองนั้นที่แท้แล้ว ไม่ใช่โครันดัม แต่เป็นแร่อย่างอื่นที่มีคุณภาพต่ำกว่า
โชคเข้ามาช่วย เมื่อมีคนมาช่วยลงทุน ในบริษัทนี้ บริษัทจึงย้ายออกจากถิ่น ที่ไม่มีโครันดัม ไปตั้งหลักในเมือง ดูลูธ แล้วเริ่มผลิตกระดาษทราย ขายให้กับบริษัท ทำของเล่นและเก้าอี้ ต่อมาอีก บริษัทก็เริ่มผลิตแถบกระดาษกาว ขนาดกว้างสองนิ้ว สำหรับขายให้แก่ บริษัทรถยนต์เพื่อนำไปปิดบนตัวถัง เวลาจะพ่นสีรถยนต์ เป็นสีสองสี ตัดกัน แถบกระดาษกาวนี้ ราคาแพงมากบริษัท 3M จึงพยายามลดต้นทุน ด้วยการทากาว เฉพาะทาง ริมขอบกระดาษทั้งสองข้าง แต่แถบกาวอย่างนี้ หากต้องตั้งใจบรรจง ติดจึงจะอยู่กับที่ มิฉะนั้นก็จะหลุดออกมา
บริษัท 3M ขายแถบกระดาษกาวแบบใหม่นี้ได้ไม่นานก็ถูกลูกค้าเรียกไปต่อว่า ลูกค้าบอกว่า "เอาเจ้าสก๊อตชเทปของคุณไปทากาวทั้งแถบ อย่าไปทาเฉพาะตรงริมขอบแค่นั้นสิ
พวกเราคงจะทราบแล้วว่า คำว่า สก๊อตช์นั้นเป็นชื่อเรียกคนเชื้อชาติหนึ่ง ทางตอนเหนือของอังกฤษ และเป็นที่เลื่องลือว่ามีนิสัยขี้เหนียวมาก ดังนั้นคำเรียก ของบริษัทรถยนต์ จึงหมายความว่า เป็นแถบกระดาษที่ผู้ผลิตขี้เหนียว ไม่ยอมทากาว ทั้งแถบนั่นเอง
อย่างไรก็ตามคำนี้ก็เลยกลายเป็นคำเรียกของแถบกระดาษกาวของบริษัท 3M นั้น และต่อมาเมื่อบริษัทใช้พลาสติก ผลิตแถบกาวอย่างนี้ก็เลยพลอยได้ชื่อว่าเป็น สก๊อตชเทป ไปด้วย แน่นอนบริษัทเอง ก็ยินดีใช้ชื่อนี้เป็นเสมือนชื่อสินค้าไปด้วยโดยปริยาย
ที่แท้ก็เรียกประชดคนขี้เหนียวนี่เอง 5555 ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะกลายเป็นคำฮิตติดปากของคนทั้งโลกไปแล้ว 0_O"
ที่มา : http://www.dek-d.com/content/view.php?id=11347
สก๊อตช์เทปดั้งเดิมของแท้นั้นทำมาจากบริษัท 3M ชื่อนี้ถ้าเขียน เต็ม ๆ ก็จะยาวมากคือ Minnesota Mining and Manufacturing Company หากแปลความหมายก็คือบริษัทผู้ผลิตและทำเหมืองมินเนโซตา คำว่า มินเนโซตานั้น เป็นชื่อรัฐทางตอนเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกา
ดูตามชื่อแล้วบริษัท 3M ไม่น่าจะมาเป็นผู้ผลิตสก๊อตช์เทปขายจนร่ำรวยได้ นั่นเป็นความจริง เพราะในตอนแรกบริษัทนี้ ตั้งขึ้นเพื่อจะทำเหมือน โครันดัม (corundum) ซึ่งใช้สำหรับเป็นสารขัดถู การตั้งบริษัทนั้นต้องใช้เวลานานมาก และกว่าจะดำเนินการได้ก็พอดี มีนักวิทยาศาสตร์ชื่อ เอ็ดเวิรด กูดริช อาชีสัน ได้ค้นพบ สารขัดถูเทียมที่เรียกว่า คาร์โบรันดัม (carborundum) ได้ พอดีกันกับที่บริษัท ก็ค้นพบว่า โครันดัม ที่หมายมั่นปั้นมือว่า จะมาขุดทำเหมืองนั้นที่แท้แล้ว ไม่ใช่โครันดัม แต่เป็นแร่อย่างอื่นที่มีคุณภาพต่ำกว่า
โชคเข้ามาช่วย เมื่อมีคนมาช่วยลงทุน ในบริษัทนี้ บริษัทจึงย้ายออกจากถิ่น ที่ไม่มีโครันดัม ไปตั้งหลักในเมือง ดูลูธ แล้วเริ่มผลิตกระดาษทราย ขายให้กับบริษัท ทำของเล่นและเก้าอี้ ต่อมาอีก บริษัทก็เริ่มผลิตแถบกระดาษกาว ขนาดกว้างสองนิ้ว สำหรับขายให้แก่ บริษัทรถยนต์เพื่อนำไปปิดบนตัวถัง เวลาจะพ่นสีรถยนต์ เป็นสีสองสี ตัดกัน แถบกระดาษกาวนี้ ราคาแพงมากบริษัท 3M จึงพยายามลดต้นทุน ด้วยการทากาว เฉพาะทาง ริมขอบกระดาษทั้งสองข้าง แต่แถบกาวอย่างนี้ หากต้องตั้งใจบรรจง ติดจึงจะอยู่กับที่ มิฉะนั้นก็จะหลุดออกมา
บริษัท 3M ขายแถบกระดาษกาวแบบใหม่นี้ได้ไม่นานก็ถูกลูกค้าเรียกไปต่อว่า ลูกค้าบอกว่า "เอาเจ้าสก๊อตชเทปของคุณไปทากาวทั้งแถบ อย่าไปทาเฉพาะตรงริมขอบแค่นั้นสิ
พวกเราคงจะทราบแล้วว่า คำว่า สก๊อตช์นั้นเป็นชื่อเรียกคนเชื้อชาติหนึ่ง ทางตอนเหนือของอังกฤษ และเป็นที่เลื่องลือว่ามีนิสัยขี้เหนียวมาก ดังนั้นคำเรียก ของบริษัทรถยนต์ จึงหมายความว่า เป็นแถบกระดาษที่ผู้ผลิตขี้เหนียว ไม่ยอมทากาว ทั้งแถบนั่นเอง
อย่างไรก็ตามคำนี้ก็เลยกลายเป็นคำเรียกของแถบกระดาษกาวของบริษัท 3M นั้น และต่อมาเมื่อบริษัทใช้พลาสติก ผลิตแถบกาวอย่างนี้ก็เลยพลอยได้ชื่อว่าเป็น สก๊อตชเทป ไปด้วย แน่นอนบริษัทเอง ก็ยินดีใช้ชื่อนี้เป็นเสมือนชื่อสินค้าไปด้วยโดยปริยาย
ที่แท้ก็เรียกประชดคนขี้เหนียวนี่เอง 5555 ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะกลายเป็นคำฮิตติดปากของคนทั้งโลกไปแล้ว 0_O"
ที่มา : http://www.dek-d.com/content/view.php?id=11347
วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2551
4 สูตรหน้าใสง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเอง
4 สูตรหน้าใสง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเอง
1. สูตรเพิ่มความสดชื่นเปล่งปลั่งให้ผิวหน้า
ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจนสะอาด แล้วนำแอปเปิ้ลไม่ปลอกเปลือกสัก ครึ่งผล ปั่นให้ละเอียด พอกหน้าเว้นเปลือกตา ทิ้งไว้ประมาณ 25 นาที แล้วล้างออก
2. สูตรลดริ้วรอย ทำให้หน้านวลใส
นำแอปเปิ้ลครึ่งผลมาปั่น พอละเอียดได้ที่ก็คั้นมะนาวเอาแต่น้ำสัก 1 ช้อนชาใส่ลงไป คนให้เข้ากัน แล้วพอกชโลมให้ทั่ว เว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ ทิ้งไว้ 10 นาที ล้างออก
3. สูตรหน้าเด้ง ไม่หยาบกร้าน
เตรียมโยเกิร์ต 3 ช้อนโต๊ะ และมะเขือเทศลูกเล็กๆ สัก 3 ลูก ปั่นโยเกิร์ตกับมะเขือเทศให้ละเอียด แล้วนำพอกหน้าให้ทั่ว โดยเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก
4. สูตรขัดหน้าขาว และลดริ้วรอยหมองคล้ำ
ผสมโยเกิร์ต 1 ถ้วย กับเกลือป่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ ให้เข้ากัน ชโลมให้ทั่วใบหน้า แล้วขัดๆ ถูๆ ให้ทั่ว ขัด 5 นาที ทิ้งไว้อีก 5 นาที แล้วล้างออก ทำเดือนละครั้งกำลังดี
ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1167835
1. สูตรเพิ่มความสดชื่นเปล่งปลั่งให้ผิวหน้า
ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจนสะอาด แล้วนำแอปเปิ้ลไม่ปลอกเปลือกสัก ครึ่งผล ปั่นให้ละเอียด พอกหน้าเว้นเปลือกตา ทิ้งไว้ประมาณ 25 นาที แล้วล้างออก
2. สูตรลดริ้วรอย ทำให้หน้านวลใส
นำแอปเปิ้ลครึ่งผลมาปั่น พอละเอียดได้ที่ก็คั้นมะนาวเอาแต่น้ำสัก 1 ช้อนชาใส่ลงไป คนให้เข้ากัน แล้วพอกชโลมให้ทั่ว เว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ ทิ้งไว้ 10 นาที ล้างออก
3. สูตรหน้าเด้ง ไม่หยาบกร้าน
เตรียมโยเกิร์ต 3 ช้อนโต๊ะ และมะเขือเทศลูกเล็กๆ สัก 3 ลูก ปั่นโยเกิร์ตกับมะเขือเทศให้ละเอียด แล้วนำพอกหน้าให้ทั่ว โดยเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก
4. สูตรขัดหน้าขาว และลดริ้วรอยหมองคล้ำ
ผสมโยเกิร์ต 1 ถ้วย กับเกลือป่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ ให้เข้ากัน ชโลมให้ทั่วใบหน้า แล้วขัดๆ ถูๆ ให้ทั่ว ขัด 5 นาที ทิ้งไว้อีก 5 นาที แล้วล้างออก ทำเดือนละครั้งกำลังดี
ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1167835
ล้างหน้าอย่างไรให้ผิวใสตลอดวัน
ล้างหน้าอย่างไรให้ผิวใสตลอดวัน
เทคนิคการล้างหน้าที่ถูกวิธีเป็นอีกเคล็ดลับหนึ่งที่จะให้คุณผิวสวย แต่รู้ไหมคะว่าควรจะล้างหน้าวันละกี่รอบ? รอบละกี่ครั้ง? ล้างอย่างไรถูซ้ายไปขวาหรือล่างขึ้นบน? ล้างด้วยสบู่หรือเจลหรือโฟมล้างหน้ากันดี? มีคำตอบเพื่อหน้าใสอยู่ทางนี้ค่ะ
เริ่มที่การล้างหน้าเพียงวันละ 2 ครั้งก็เพียงพอค่ะ ตื่นนอนตอนเช้าและอาบน้ำตอนเย็นก็เพียงพอ ไม่ควรล้างหน้าบ่อยครั้งเกินไปเพราะจะทำให้ผิวแห้ง ลอกได้ กรณีที่ผิวของคุณสกปรกจริง ๆ เช่น หลังเล่นกีฬา ทำสวน ทำไร่ ปลูกต้นไม้ หรือคุมงานก่อสร้าง ซ่อมแซมบ้าน ก็อาจจะเพิ่มการล้างหน้ารอบพิเศษอีกสักครั้งได้
ที่สำคัญ อย่าใช้น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนล้างหน้านะคะเพราะจะทำให้ผิวแห้งและแลดูเ่ยว ๆ อีกต่างหาก เวลาล้างก็ขอแค่ลูบไล้แต่เบามือ ไม่เช็ด ไม่ถู ถ้าใช้คลีนเซอร์หรือเอ็กซเทอร์นอลเช็ดหน้ากันตลบจนเกลี้ยงเกลา คงต้องเลิกนะคะเพราะจะทำให้ผิวถลอกลอกได้
คุณทราบไหมว่าชั้นขี้ไคลก็คือชั้นหนังกำพร้าที่เกาะติดอยู่บนผิวหนังชั้นบนควบคู่ไปกับชั้นน้ำมันเคลือบผิว ทั้งขี้ไคล ทั้งน้ำมันไม่ใช่สิ่งสกปรกอย่างที่ใคร ๆ เข้าใจผิดนะคะ หากแต่เป็นเกราะที่คอยคุ้มครองปกป้องผิวหน้าจากฝุ่นละออง เชื้อโรคและสารเคมีไม่ให้ซึมผ่านลงไปทำร้ายผิว
หากคุณเช็ดถู ล้างหน้าจนเกลี้ยง ชั้นน้ำมัน ชั้นขี้ไคลก็ไม่เหลือ ผิวหน้าของคุณก็ดั่งปราศจากเกราะ ขาดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ เราจะพบว่าคนที่ล้างหน้าบ่อย ๆ ใช้น้ำยา ใช้โทนเนอร์เช็ดหน้า มักจะมีปัญหาผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย กลายเป็นผิวบอบบางโดนอะไรนิด อะไรหน่อยก็แพ้เป็นผื่นหรือคันได้
วิธีแก้ผิวแพ้ง่าย ให้ใช้มาตรการ "ยุ่งกับผิวให้น้อยที่สุด" แล้วจะหายเองค่ะ แต่ถ้าคุณแต่งหน้า มีเครื่องสำอางค์รองพื้นเต็มใบหน้า หากเครื่องสำอางค์ไม่ได้กันน้ำ คุณก็สามารถเลือกใช้สบู่เจลใสอ่อน ๆ ของเบบี้หรือของผู้ใหญ่ก็ใช้ได้ เลือกประเภทที่ไม่มีฟอง ไม่มีน้ำหอมจะได้ไม่ระคายเคืองขึ้นมาอีก
เวลาล้างก็แค่เอาน้ำลูบ ไล้ ๆ เจลใสหรือโฟมที่ไม่มีฟองเหล่านี้เบา ๆ ทั่วหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่าอย่างเบามือ แค่นี้ก็สะอาดแล้วล่ะค่ะ
หลังล้างหน้าให้ซับเบา ๆ ไม่เช็ด ไม่ถู ผิวจะได้ไม่หยาบกร้านและไม่ต้องใช้โทนเนอร์เช็ดหน้าหรอกนะคะ หากล้างหน้าเสร็จแล้ว คุณรู้สึกลื่น ๆ เหมือนไม่เกลี้ยง ซับหน้าเบา ๆ ด้วยผ้าขนหนู ไม่ต้องไปวิตกจริตว่ามันจะลงไปอุดตันทำให้เกิดสิวหรอกนะคะ ถ้าจะเป็นสิวก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดจากฮอร์โมนเพศในตัวคุณเอง
โดยธรรมชาติ ผิวหนังกำพร้าของคนเราจะหลุดลอกออกมาเองทุกวัน ก็จะพาเอาแป้ง เอาฝุ่นให้หลุดลอกออกมาด้วย ไม่ต้องออกแรงถู ไม่ต้องเสียเงินซื้อคลีนเซอร์ โทนเนอร์ ชุดล้างหน้าแพง ๆ มาใช้หรอกนะคะ เสียดายเงิน สงสารประเทศไทยกันบ้าง ต้องเสียเงินออกนอกประเทศไปกับเครื่องสำอางค์แพง ๆ เหล่านี้
คุณจะใช้สบู่เหลวของเด็กขวดละ 70 บาทหรือชุดล้างหน้าสุดหรูยี่ห้อดังชุดละ 7,000 บาท หน้าก็สะอาดใสได้เท่ากันค่ะ ที่เคยผิดพลาดกันมานานก็ถือว่าแล้วกันไป ถือเป็นความผิดโดยสุจริตก็แล้วกันนะคะ
โดยสรุปแล้ว ให้ล้างหน้าเบา ๆ เช้าครั้งเย็นหน ใช้สบู่เหลว เจลใสหรือโฟมไร้ฟอง ลูบไล้เบา ๆ เอาแค่พอลื่น ๆ ไม่ต้องสะอาดเอี่ยมอ่องนะคะ แล้วก็ซับหน้าเบา ๆ ไม่ต้องเช็ด ไม่ต้องถู อะไรที่เคยใช้เช็ด ๆ ถู ๆ ผิวหน้า กลับบ้านไปโยนทิ้งได้เลยค่ะ
ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1168626
เทคนิคการล้างหน้าที่ถูกวิธีเป็นอีกเคล็ดลับหนึ่งที่จะให้คุณผิวสวย แต่รู้ไหมคะว่าควรจะล้างหน้าวันละกี่รอบ? รอบละกี่ครั้ง? ล้างอย่างไรถูซ้ายไปขวาหรือล่างขึ้นบน? ล้างด้วยสบู่หรือเจลหรือโฟมล้างหน้ากันดี? มีคำตอบเพื่อหน้าใสอยู่ทางนี้ค่ะ
เริ่มที่การล้างหน้าเพียงวันละ 2 ครั้งก็เพียงพอค่ะ ตื่นนอนตอนเช้าและอาบน้ำตอนเย็นก็เพียงพอ ไม่ควรล้างหน้าบ่อยครั้งเกินไปเพราะจะทำให้ผิวแห้ง ลอกได้ กรณีที่ผิวของคุณสกปรกจริง ๆ เช่น หลังเล่นกีฬา ทำสวน ทำไร่ ปลูกต้นไม้ หรือคุมงานก่อสร้าง ซ่อมแซมบ้าน ก็อาจจะเพิ่มการล้างหน้ารอบพิเศษอีกสักครั้งได้
ที่สำคัญ อย่าใช้น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนล้างหน้านะคะเพราะจะทำให้ผิวแห้งและแลดูเ่ยว ๆ อีกต่างหาก เวลาล้างก็ขอแค่ลูบไล้แต่เบามือ ไม่เช็ด ไม่ถู ถ้าใช้คลีนเซอร์หรือเอ็กซเทอร์นอลเช็ดหน้ากันตลบจนเกลี้ยงเกลา คงต้องเลิกนะคะเพราะจะทำให้ผิวถลอกลอกได้
คุณทราบไหมว่าชั้นขี้ไคลก็คือชั้นหนังกำพร้าที่เกาะติดอยู่บนผิวหนังชั้นบนควบคู่ไปกับชั้นน้ำมันเคลือบผิว ทั้งขี้ไคล ทั้งน้ำมันไม่ใช่สิ่งสกปรกอย่างที่ใคร ๆ เข้าใจผิดนะคะ หากแต่เป็นเกราะที่คอยคุ้มครองปกป้องผิวหน้าจากฝุ่นละออง เชื้อโรคและสารเคมีไม่ให้ซึมผ่านลงไปทำร้ายผิว
หากคุณเช็ดถู ล้างหน้าจนเกลี้ยง ชั้นน้ำมัน ชั้นขี้ไคลก็ไม่เหลือ ผิวหน้าของคุณก็ดั่งปราศจากเกราะ ขาดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ เราจะพบว่าคนที่ล้างหน้าบ่อย ๆ ใช้น้ำยา ใช้โทนเนอร์เช็ดหน้า มักจะมีปัญหาผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย กลายเป็นผิวบอบบางโดนอะไรนิด อะไรหน่อยก็แพ้เป็นผื่นหรือคันได้
วิธีแก้ผิวแพ้ง่าย ให้ใช้มาตรการ "ยุ่งกับผิวให้น้อยที่สุด" แล้วจะหายเองค่ะ แต่ถ้าคุณแต่งหน้า มีเครื่องสำอางค์รองพื้นเต็มใบหน้า หากเครื่องสำอางค์ไม่ได้กันน้ำ คุณก็สามารถเลือกใช้สบู่เจลใสอ่อน ๆ ของเบบี้หรือของผู้ใหญ่ก็ใช้ได้ เลือกประเภทที่ไม่มีฟอง ไม่มีน้ำหอมจะได้ไม่ระคายเคืองขึ้นมาอีก
เวลาล้างก็แค่เอาน้ำลูบ ไล้ ๆ เจลใสหรือโฟมที่ไม่มีฟองเหล่านี้เบา ๆ ทั่วหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่าอย่างเบามือ แค่นี้ก็สะอาดแล้วล่ะค่ะ
หลังล้างหน้าให้ซับเบา ๆ ไม่เช็ด ไม่ถู ผิวจะได้ไม่หยาบกร้านและไม่ต้องใช้โทนเนอร์เช็ดหน้าหรอกนะคะ หากล้างหน้าเสร็จแล้ว คุณรู้สึกลื่น ๆ เหมือนไม่เกลี้ยง ซับหน้าเบา ๆ ด้วยผ้าขนหนู ไม่ต้องไปวิตกจริตว่ามันจะลงไปอุดตันทำให้เกิดสิวหรอกนะคะ ถ้าจะเป็นสิวก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดจากฮอร์โมนเพศในตัวคุณเอง
โดยธรรมชาติ ผิวหนังกำพร้าของคนเราจะหลุดลอกออกมาเองทุกวัน ก็จะพาเอาแป้ง เอาฝุ่นให้หลุดลอกออกมาด้วย ไม่ต้องออกแรงถู ไม่ต้องเสียเงินซื้อคลีนเซอร์ โทนเนอร์ ชุดล้างหน้าแพง ๆ มาใช้หรอกนะคะ เสียดายเงิน สงสารประเทศไทยกันบ้าง ต้องเสียเงินออกนอกประเทศไปกับเครื่องสำอางค์แพง ๆ เหล่านี้
คุณจะใช้สบู่เหลวของเด็กขวดละ 70 บาทหรือชุดล้างหน้าสุดหรูยี่ห้อดังชุดละ 7,000 บาท หน้าก็สะอาดใสได้เท่ากันค่ะ ที่เคยผิดพลาดกันมานานก็ถือว่าแล้วกันไป ถือเป็นความผิดโดยสุจริตก็แล้วกันนะคะ
โดยสรุปแล้ว ให้ล้างหน้าเบา ๆ เช้าครั้งเย็นหน ใช้สบู่เหลว เจลใสหรือโฟมไร้ฟอง ลูบไล้เบา ๆ เอาแค่พอลื่น ๆ ไม่ต้องสะอาดเอี่ยมอ่องนะคะ แล้วก็ซับหน้าเบา ๆ ไม่ต้องเช็ด ไม่ต้องถู อะไรที่เคยใช้เช็ด ๆ ถู ๆ ผิวหน้า กลับบ้านไปโยนทิ้งได้เลยค่ะ
ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1168626
วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2551
ประโยชน์ของการ ยิ้ม
ประโยชน์ของการ ยิ้ม
หลายคนคงคิดว่าการยิ้ม คงไม่สำคัญ วันนี้เดลินิวส์มีประโยชน์ของการยิ้มมาฝาก...
1. มีเสน่ห์
หลายคนที่ไม่ได้หล่อไม่ได้สวย แต่ทุกครั้งที่ยิ้ม ก็เหมือนกับว่าโลกทั้งโลกสว่างไสวไปกับรอยยิ้มของเขา หลายคนไม่รู้ตัวหรอกว่า ตัวเองยิ้มสวยแค่ไหน ต้องลองยิ้มกับกระจกและสำรวจดูบ้าง
2. มีมิตรมากกว่าศัตรู
รอยยิ้มที่จริงใจและถูกกาลเทศะ จะสร้างมิตรมากกว่าสร้างศัตรู ว่ากันว่า รอยยิ้มคือเครื่องมือกะเทาะกำแพงน้ำแข็ง หรือความเย็นชาแปลกหน้าที่ผู้คนมีต่อกันได้เป็นอย่างดี ใครจะรู้ รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ส่งให้กันในวันนี้ อาจนำพาเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตมาให้เราก็ได้
3. มีความสดชื่น
รอยยิ้มเป็นสัญลักษณ์ของอารมณ์ที่สดชื่น เหมือนกับความสดชื่นนั้นคือต้นไม้ และรอยยิ้มก็คือดอกไม้ อารมณ์และสภาพจิตของคนเรา ปลูกต้นอะไรไว้ก็ย่อมจะออกดอกเป็นสิ่งนั้น
4. มีกำลัง
หลายคนบอกว่า เมื่อเผชิญกับปัญหา ความทุกข์ หรือความยากลำบาก ให้ยิ้มเข้าไว้ จะทำให้มีเรี่ยวแรงกำลังที่จะฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เพราะว่ารอยยิ้ม คือกำลังของชีวิตอย่างหนึ่ง
5. มีมุมมองที่ดี
คนที่มีอุปนิสัยยิ้มแย้ม จะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี แม้ในเวลาที่มีปัญหา ก็จะยิ้มสู้ และพลิกปัญหาหรืออุปสรรคเหล่านั้นให้กลายเป็นโอกาสขึ้นมาได้
อ่านแล้วก็หันมายิ้มกันดีกว่า เพื่อสุขภาพจิตที่ดี.
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/11037.html
หลายคนคงคิดว่าการยิ้ม คงไม่สำคัญ วันนี้เดลินิวส์มีประโยชน์ของการยิ้มมาฝาก...
1. มีเสน่ห์
หลายคนที่ไม่ได้หล่อไม่ได้สวย แต่ทุกครั้งที่ยิ้ม ก็เหมือนกับว่าโลกทั้งโลกสว่างไสวไปกับรอยยิ้มของเขา หลายคนไม่รู้ตัวหรอกว่า ตัวเองยิ้มสวยแค่ไหน ต้องลองยิ้มกับกระจกและสำรวจดูบ้าง
2. มีมิตรมากกว่าศัตรู
รอยยิ้มที่จริงใจและถูกกาลเทศะ จะสร้างมิตรมากกว่าสร้างศัตรู ว่ากันว่า รอยยิ้มคือเครื่องมือกะเทาะกำแพงน้ำแข็ง หรือความเย็นชาแปลกหน้าที่ผู้คนมีต่อกันได้เป็นอย่างดี ใครจะรู้ รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ส่งให้กันในวันนี้ อาจนำพาเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตมาให้เราก็ได้
3. มีความสดชื่น
รอยยิ้มเป็นสัญลักษณ์ของอารมณ์ที่สดชื่น เหมือนกับความสดชื่นนั้นคือต้นไม้ และรอยยิ้มก็คือดอกไม้ อารมณ์และสภาพจิตของคนเรา ปลูกต้นอะไรไว้ก็ย่อมจะออกดอกเป็นสิ่งนั้น
4. มีกำลัง
หลายคนบอกว่า เมื่อเผชิญกับปัญหา ความทุกข์ หรือความยากลำบาก ให้ยิ้มเข้าไว้ จะทำให้มีเรี่ยวแรงกำลังที่จะฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เพราะว่ารอยยิ้ม คือกำลังของชีวิตอย่างหนึ่ง
5. มีมุมมองที่ดี
คนที่มีอุปนิสัยยิ้มแย้ม จะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี แม้ในเวลาที่มีปัญหา ก็จะยิ้มสู้ และพลิกปัญหาหรืออุปสรรคเหล่านั้นให้กลายเป็นโอกาสขึ้นมาได้
อ่านแล้วก็หันมายิ้มกันดีกว่า เพื่อสุขภาพจิตที่ดี.
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/11037.html
สารเมลามีน คืออะไร?
สารเมลามีน คืออะไร?
ห้ามขายอีก- ขนมและลูกอมยี่ห้อดังที่ผลิตจากเมืองจีน ถูก อย.สั่งเก็บออกจากห้างสรรพสินค้า และห้ามขายทุกแห่ง ระหว่างตรวจสอบหาสารปนเปื้อน หลังพบนมเลี้ยงทารก และขนมที่ผลิตจากเมืองจีนผสมสารเมลามีน ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย
เป็นเรื่องที่กำลังวิตกกันมากเกี่ยวกับสารเมลามีนปนเปื้อนในนม ขนม และอาหารนำเข้าจากประเทศจีน แต่หลายคนไม่ทราบว่าสารเมลามีน มันคืออะไร แล้วมีผลหรือพิษอันตรายอย่างไร จึงขอนำบทความของ รศ.ดร.เยาวมาลย์ ค้าเจริญ ภาควิชาสัตวศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มานำเสนอดังนี้
เมลามีน คือ พลาสติกชนิดหนึ่งมีสารฟอร์มาลดีไฮด์เป็นส่วนประกอบ หรือที่เรารู้จักคุ้นเคยกันคือ ฟอร์มาลีน ส่วนใหญ่เมลานีนจะถูกนำมาผลิตพลาสติก จานเมลามีน ถุงพลาสติก พลาสติกสำหรับห่ออาหาร นอกจากนี้เมลามีนยังอยู่ในอุตลาหกรรมเม็ดสีเป็นหมึกพิมพ์สีเหลือง นอกจากนี้ยังนำไปทำน้ำยาดับเพลิงคุณภาพดี น้ำยาทำความสะอาด และปุ๋ย เพราะโครงสร้างของเมลามีนมีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบที่ค่อนข้างสูง
คุณสมบัติของเมลามีน
เป็นเมตาโบไลท์ของไซโรมาซีน(Cyromazine) ซึ่งเป็นยาฆ่าแมลงชนิดหนึ่ง เมื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและพืชได้รับเข้าไปในร่างกายจะสามารถเปลี่ยนไปเป็นเมลามีนได้ มีไนโตรเจน 66.67 % คิดเป็นปริมาณโปรตีนได้ 416.66 % จัดเป็นพวก Non-Protein Nitrogen (NPN) ในสัตว์กระเพาะรวม แต่ไม่นิยมใช้เพราะการ Hydrolysis ช้าและไม่สมบูรณ์เหมือนยูเรีย ลักษณะเป็นผงสีขาว มีสูตรโครงสร้างทางเคมี C3H6 N6 (1,3,5 Triazine 2,4,6 Triamine) ละลายน้ำได้น้อย เมลามีนคุณภาพดีจะนำไปทำเม็ดพลาสติกเรียกเม็ดเลซินเมลามีน ส่วนเศษที่เหลือหรือเมลามีนที่คุณภาพเลวจะนำกลับไปทำของใช้ ซึ่งเมลานีนคุณภาพเลวนี้ขบวนการของมันไม่สมบูรณ์จึงมีราคาถูก และเกิดอนุพันธ์ของเมลามีนขึ้นหลายชนิด เรียกว่า เมลามีนอันนาล็อก ประกอบด้วย ammeline,ammelide และ cyanuric acid แม้จะเป็นอนุพันธ์ของเมลามีนแต่ก็ยังมีโปรตีนสูงถึง 224.36 %
งานวิจัยกับเมลามีนในช่วงที่ผ่านมา
จากการวิจัยในปี ค.ศ.1971 มีการนำเมลามีนมาใส่ในอาหารโค เพราะเป็นแหล่งไนโตรเจน ต่อมาในปี 1971-1976 มีการวิจัยพบว่าเมลามีนมีไนโตรเจนสูงกว่ายูเรีย แต่เมื่อสัตว์กระเพาะรวม (โคเนื้อ โคนม แพะ แกะ) กินเข้าไปแล้วไม่สามารถย่อยได้สมบูรณ์ ทำให้เกิดสารพิษตกค้างในตัวสัตว์จึงไม่นิยมใช้ จากนั้นมีการทำงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง โดยเมลามีนที่มาจากโรงงานผลิตที่ค่อนข้างดีก็จะมีเฉพาะเมลามีนตัวเดียวออกมาไม่มีอัลนาล็อก และมีการศึกษาเมลามีนในสัตว์และคน ก็พบว่าไม่เป็นพิษจึงยอมให้มาผลิตเป็พลาสติกภาชนะใส่อาหารและใช้ห่ออาหารอีกด้วย
จนเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมา หน่วยงาน U.S.Food and Drug ออกมาตรการให้มีการสืบสวนกลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงจากเมืองจีน เพราะพบว่าอาหารสัตว์เลี้ยงที่ส่งไปขายในสหรัฐอเมริกาและแอฟริกาใต้ เมื่อสุนัขและแมวกินเข้าไปทำให้สัตว์เลี้ยงลัมป่วยและตายเป็นจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ U.S.Food and Drug ได้ประกาศระงับการนำเข้ากลูเตนที่ผลิตได้จากแป้งสาลี(wheat gluten) ของจีน รวมทั้งเรียกคืนสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงจากจีนรวมกว่า 60 ล้านกล่อง ครอบคลุมสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงประมาณ 100 ยี่ห้อ นอกจากนี้ยังมีความสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าคอนกลูเต้น ( corn gluten ) ที่ผลิตในอเมริกามีโปรตีนไม่ถึง 64 % ทั้ง ๆ ที่อเมริกาเป็นแหล่ง corn gluten แหล่งใหญ่ของโลกในขณะที่ผลิตภัณฑ์จากเมืองจีนมีโปรตีนสูงถึง 68 % แต่กลับราคาถูกกว่า
นอกจากนำเข้า corn gluten จากจีนแล้ว อเมริกายังนำเข้าโปรตีนจากพืชชนิดอื่น ๆ ของจีน เช่น wheat gluten, rice bran และ rice protein concentrate หลังจากนั้นพบว่าเมื่อนำไปใช้เลี้ยงสัตว์แล้วเกิดปัญหา เมื่อตรวจสอบก็พบว่าโปรตีนจากพืชที่นำเข้าจากจีนปนเปื้อนด้วยเมลามีน และอนุพันธ์ของเมลามีน U.S.Food and Drug ได้ประกาศระงับการนำเข้าโปรตีนจากพืชของจีนรวมทั้งเรียกคืนอาหารสัตว์จากจีนกว่า 60 ล้านกล่อง ครอบคลุมสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงประมาณ 100 ยี่ห้อ
จากจุดนี้ทำให้หน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหาร ประจำสหภาพยุโรป (European food Safety Authority : EFSA) ได้มีการกำหนดค่าในการบริโภคเมลามีนต่อวันของมนุษย์และสัตว์ ( toterable daily intake : TDI ) ในระดับไม่เกิน 0.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัวต่อวัน โดยค่ะ TDI ของเมลามีนทั้งคนและสัตว์ให้มีค่าเท่ากันเพราะยังไม่มีการวิจัยในสัตว์ออกมาส่วนค่าเมลามีนที่จะปนมากับอาหารคนและสัตว์เกินกว่า 30 มิลลิกรัม/กิโลกรัม หรือ 30 ppm. ได้
EU และประเทศสมาชิก 27 ประเทศมีการตรวจเข้มข้น เพื่อหาการปนเปื้อนของเมลามีนในสินค้าประเภท wheat gluten,corn gluten, corn meal, soy protein, rice bran, rice protein concentrate ที่นำเข้าจากจีนและประเทศที่ 3 ซึ่งรวมถึงกลุ่มประเทศตะวันออกเฉียงใต้ทั้งนี้ให้รายงานผลการตรวจเข้าสู่ระบบเตือนภัยกลาง คือ Repid Alert System for Food and Feed
เมลามีนในประเทศจีน
จีนมีโรงงานผลิตเมลามีน 3 แหล่งใหญ่ ๆ ซึ่งร่ำรวยมาก ผลิตเมลามีนเดือนละหลายหมื่นตันในเมืองจีนเมลามีนวางขายหลากหลายยี่ห้อ และมีการับรองมาตรฐานอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการประกาศขายเมลามีนผ่านทางอินเตอร์เน็ตอย่างเปิดเผย ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในเมืองจีนมีขายและใช้กันมากในการผลิตอาหารสุนัข อาหารสุกร รวมถึงแป้งที่คนกิน นอกจากจะนำมาใช้ในประเทศแล้ว จีนยังมีการส่งเมลามีนเข้าไปขายในประเทศที่ 3 ประกอบด้วย ไทย เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเชีย และฟิลลิปปินส์ โดยไม่ได้นำเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมจานเมลามีน แต่เอามาปนเปื้อนในอาหารคนอาหารสัตว์ ซึ่งผู้ขายจากจีนจะไม่บอกว่าเป็นเมลามีนโดยบอกว่าเป็น ไบโอโปรตีน โดยเป็นเมลานีนเศษเหลือจากโรงงานพลาสติก ราคาถูก นำเข้าในราคากิโลกรัมละ 1.20 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่เมืองจีนราคาประมาณกิโลกรัมละ 1-2 หยวนเท่านั้น
ในตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าสารที่เข้ามาเป็นเมลามีน เพราะไม่มีน้ำยาสำหรับตรวจสอบได้ มีแต่ตรวจเช็คการปนเปื้อนยูเรีย Non-Protein Nitrogen คือ ปุ๋ย เป็นพวกแอมโมเนียมไนเตรท แอมโมเนียมฟอสเฟต แอมโมเนียมซัลเฟต นอกจากนั้นยังมีการตรวจการปนเปื้อนขนไก่ไฮโดรไลซ์เศษหนังเท่านั้น
ความเป็นพิษของเมลามีน
เกิดการระคายเคืองเมื่อสูดดมทำให้ตาและผิวหนังอักเสบ เมื่อกินเข้าไประบบสืบพันธุ์ถูกทำลาย เกิดนิ่วในท่อปัสสาวะและไต เกิดมะเร็งที่ท่อปัสสาวะ ในสุนัขจะขับถ่ายออกมามาก ปัสสาวะมีความถ่วงจำเพาะลดลง มีเมลามีนในปัสสาวะสูง และเห็นเกร็ดเล็ก ๆ สีขาวเกิดขึ้นที่ไตและปัสสาวะ โดยน้ำปัสสาวะจะมีสีขาวขุ่นและมีโปรตีนและเลือดถูกขับออกมาด้วย กรณีในคนจะมีปัญหาท่อปัสสาวะล้มเหลว ในปลาไร้เกล็ด(ปลาดุก) เกร็ดจะเกิดผิวสีดำ ตับและไตขนาดใหญ่(ตับแตก) และตายในที่สุด
ผลของเมลามีนต่อสุกร – ไก่
อาการที่พบในสุกร ผอมซูบไม่กินอาหาร ตายแบบเฉียบพลันเพราะไตวาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเข้าว่าเป็น PRRS หรือเซอร์โคไวรัส ขี้จะแข็งเป็นเม็ดกระสุน ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็นรุนแรง พื้นคอกสีขาวเนื่องจากการขับเมลามีนออกมากับปัสสาวะ ผิวหนังที่มีการสัมผัสเมลามีนจะเป็นมะเร็งได้ (ในสุกรจะเห็นผิวหนังเป็นจุดแดง) ถ้าสูดดมเอาเมลามีนเข้าไปจะทำให้โพรงจมูกอักเสบ และมักพบสุกรส่วนหนึ่งตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ การแสดงอาหารป่วยจะพบ 30–100 % แต่การตายจะพบ 20-80 % วิการเมื่อผ่าซากจะพบไตแข็ง มีสีเหลืองผิวเป็นเม็ดน้อยหน่า และจะพบโรคแทรกซ้อนมากมาย
อาการที่พบในไก่เนื้อ ไตจะใหญ่กว่าปกติ 3-4 เท่า บริเวณอุ้งเท้าไก่จะเน่าเพราะมูลที่ขับถ่ายออกมาเหนียวมากจึงเกาะติดทำให้เกิดการระคายเคืองกับอุ้งเท้าไก่โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนขาย จึงเกิดความเสียหายขึ้นจะมาก-น้อยแตกต่างกันในแต่ละฟาร์ม
เส้นทางการสืบค้นหาเมลามีนในเมืองไทย
จากการตรวจสอบวัตถุที่นำเข้าจากจีนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีสิ่งที่เป็นข้อสงสัยเกิดขึ้นจากการค้นคว้าเจาะลึกลงไป พอดีกับที่ได้ไปงาน VIV ที่จีน พร้อมไปเป็นวิทยากรที่เมืองจีนอีกหลายครั้ง ก็ได้เห็นสินค้าหลากหลายวางขายจึงเก็บมาวิเคราะห์ก็เลยแน่ใจว่าเป็น เมลามีน โดยเมลามีนที่ตรวจพบในเมืองไทยที่ปนเปื้อนมากับวัตถุดิบอาหารมีหลากหลายชนิด ประกอบด้วย
- โพลียูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ (ผงสีขาว)
- โพลีเมธิลคาร์บาไมล์ (ผงสีขาว)
- โพลียูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ (UF) เรซิน
- เมลามีนฟอร์มาลดีไฮด์ (MF) เรซิน
- เมลามีนยูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ (MUF) เรซิน
ซึ่งมีตั้งแต่สีเหลืองจนขาว ขาวเทา เทาและดำ เมลามีน(ผงสีขาว) และเมลามีนไซอนูเลท(เป็นรูปเกลือที่เกิดจากเมลามีนและกรดไซอนูริค) โดยเมื่อตรวจสอบเปอร์เซ็นต์โปรตีนพบสูงตั้งแต่ 160-450 % จึงเริ่มมีการทำเทสคิดและสำเร็จในเดือนพฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมา โดยน้ำยาสารละลาย A (ความเป็นด่างสูง) และน้ำยาสารละลาย B (ความเป็นกรมสูง)
ขั้นตอนในการตรวจสอลเมลามีน
1. ตรวจสอบโดยตรงจากกล้องจุลทรรศน์ (ต้องมีความชำนาญและฝึกอบรมการตรวจสอบคุณภาพอาหารด้วยกล้องจุลทรรศน์มาก่อน) จะสามารถเห็นสารนี้ได้ โดยจะเห็นเป็นคริสตัลแวววาวสีแตกต่างกันไปถ้าปลอมปนในโปรตีนจากพืช เช่น โปรตีนจากข้าวโพด ข้าวลาสี ถั่วเหลือง (กากถั่วเหลืองและถั่วอบ) มักจะเป็นสีเหลืองหรือขาว
2. หยดสารละลาย A ลงไปจะเกิดตะกอนขุ่นขาวครั้งแรก (มองจากกล้องจุลทรรศน์) และจะเปลี่ยนเป็นตะกอนขุ่นสีเทาดำเกิดขึ้น เมื่อทิ้งไว้ 5-10 นาที จะมีเมือกสีขาวเคลือบอยู่ด้านบน ส่วนด้านล่างจะมีสีดำเทาแสดงว่าเป็นพวก UF ถ้าเป็น MF จะได้สารละลายสีเหลืองและ MUF จะเป็นสีเหลืองอ่อน
3. ตรวจสอบจากกล้องจุลทรรศน์ เช่นเดียวกับขั้นตอนที่ 2 แต่ให้หยดสารละลาย B ลงไปจะเกิดสีชมพู-ม่วงคราม-ม่วงน้ำเงินเกิดขึ้นเป็นพวก UF สำหรับ MF จะได้สีชมพู และ MUF ต้องทิ้งไว้ 15-20 นาที จึงจะเกิดสีชมพูอ่อน
4. น้ำตัวอย่างอาหารที่จะทดสอบโดยละลายในน้ำกลั่น อัตราส่วนอาหารต่อน้ำ 1 : 10 แล้วคนให้เข้ากันขณะคนให้สังเกตถ้ามีสารปนเปื้อนอาหารจะจับตัวเป็นขุยก้อนเล็ก ๆ สังเกตดูน้ำที่ใช้ละลายจะไม่ใส มีสีขาวเหมือนน้ำข้าวต้ม แสดงได้ทันทีว่ามีเมลามีนผงสีเทาปนเปื้อน ทิ้งไว้ในตะกอนแล้วกรองด้วยกระดาษกรอง Whatman No.4 หรือดูดเอาน้ำไปทดสอบกับสารละลาย A และ B
วัตถุดิบอาหารสัตว์หลักที่ต้องระวัง
อันดับแรกคือ ปลาป่น โปรตีนจากพืชที่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น corn gluten , soy bean meal, soy protein , rice bran, rice protein concentrate โปรตีนจากวุ้นเส้น DDGS จากเมืองจีนและโพลีนคลอไรด์จากเมืองจีน รำสกัดในบ้านเราก็ไม่น่าไว้วางใจ ฟลูแฟตซอยก็เช่นเดียวกัน
ความเสียหายที่เกิดกับอุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย
ความเสียหายในฟาร์มหมูที่เกิดขึ้นเพราะที่ผ่านมารำแพง ปลาป่นแพง หาของคุณภาพได้ยาก และไม่รู้ว่ามีการปนเปื้อนเมลามีนในวัถตุดิบเหล่านี้จึงมีการทดลองใช้ DDGS และโพลีนคลอไรด์จากเมืองจีน ซึ่งโพลีนคลอไรด์ 60% มีขายทั่วไปแต่จากเมืองจีนจะมีเพียง 20% และมีเมลามีนปนเปื้อน เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงโดยเฉพาะในสูตรของพ่อแม่พันธุ์ หมูเลียรางที่ใช้ปลาป่นค่อนข้างมาก
ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่จีนหลอกขายเมลามีนให้ แต่เราเดือนร้อนที่สุดเพราะเราเป็นผู้ส่งออกทั้งไก่เนื้อ กุ้ง และหมูที่กำลังจะส่งออกได้ ที่ผ่านมาหมูก็จะไปไม่ไหวอยู่แล้วเพราะราคาตกต่ำแล้วยังมาเจอความเสียหายเกิดขึ้นจากวัตถุดิบปนเปื้อน ฝากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องคิดให้มากกว่านี้ทำอะไรต้องคิดถึงประเทศชาติ ส่วนอาจารย์ก็จะเร่งเตรียมห้องแล็ปและรับตรวจสอบตัวอย่างที่สงสัย พร้อมจัดอบรมให้ความรู้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการอบรมไปแล้วจำนวนหนึ่งในส่วนของผู้ส่งออก ขณะเดียวกันก็จะปรับเปลี่ยนวิธีการวิเคราะห์เมลามีนทั้ง 4 ตัวด้วยเครื่องสเป็กโตรดฟโตมิเตอร์ และจำทำเทสคิดออกมาอีก 2 ตัวเพื่อมาตรวจสอบ A,B ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และถ้าเกษตรรายใดสงสัยว่าฟาร์มจะมีปัญหาจากเมลามีนต้องการให้อาจารย์ช่วยเหลือก็ติดต่อได้โดยตรง ยินดีให้ความช่วยเหลือ รศ.ดร.เยาวมาลย์ กล่าว
ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=64&post_id=1275618
ห้ามขายอีก- ขนมและลูกอมยี่ห้อดังที่ผลิตจากเมืองจีน ถูก อย.สั่งเก็บออกจากห้างสรรพสินค้า และห้ามขายทุกแห่ง ระหว่างตรวจสอบหาสารปนเปื้อน หลังพบนมเลี้ยงทารก และขนมที่ผลิตจากเมืองจีนผสมสารเมลามีน ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย
เป็นเรื่องที่กำลังวิตกกันมากเกี่ยวกับสารเมลามีนปนเปื้อนในนม ขนม และอาหารนำเข้าจากประเทศจีน แต่หลายคนไม่ทราบว่าสารเมลามีน มันคืออะไร แล้วมีผลหรือพิษอันตรายอย่างไร จึงขอนำบทความของ รศ.ดร.เยาวมาลย์ ค้าเจริญ ภาควิชาสัตวศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มานำเสนอดังนี้
เมลามีน คือ พลาสติกชนิดหนึ่งมีสารฟอร์มาลดีไฮด์เป็นส่วนประกอบ หรือที่เรารู้จักคุ้นเคยกันคือ ฟอร์มาลีน ส่วนใหญ่เมลานีนจะถูกนำมาผลิตพลาสติก จานเมลามีน ถุงพลาสติก พลาสติกสำหรับห่ออาหาร นอกจากนี้เมลามีนยังอยู่ในอุตลาหกรรมเม็ดสีเป็นหมึกพิมพ์สีเหลือง นอกจากนี้ยังนำไปทำน้ำยาดับเพลิงคุณภาพดี น้ำยาทำความสะอาด และปุ๋ย เพราะโครงสร้างของเมลามีนมีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบที่ค่อนข้างสูง
คุณสมบัติของเมลามีน
เป็นเมตาโบไลท์ของไซโรมาซีน(Cyromazine) ซึ่งเป็นยาฆ่าแมลงชนิดหนึ่ง เมื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและพืชได้รับเข้าไปในร่างกายจะสามารถเปลี่ยนไปเป็นเมลามีนได้ มีไนโตรเจน 66.67 % คิดเป็นปริมาณโปรตีนได้ 416.66 % จัดเป็นพวก Non-Protein Nitrogen (NPN) ในสัตว์กระเพาะรวม แต่ไม่นิยมใช้เพราะการ Hydrolysis ช้าและไม่สมบูรณ์เหมือนยูเรีย ลักษณะเป็นผงสีขาว มีสูตรโครงสร้างทางเคมี C3H6 N6 (1,3,5 Triazine 2,4,6 Triamine) ละลายน้ำได้น้อย เมลามีนคุณภาพดีจะนำไปทำเม็ดพลาสติกเรียกเม็ดเลซินเมลามีน ส่วนเศษที่เหลือหรือเมลามีนที่คุณภาพเลวจะนำกลับไปทำของใช้ ซึ่งเมลานีนคุณภาพเลวนี้ขบวนการของมันไม่สมบูรณ์จึงมีราคาถูก และเกิดอนุพันธ์ของเมลามีนขึ้นหลายชนิด เรียกว่า เมลามีนอันนาล็อก ประกอบด้วย ammeline,ammelide และ cyanuric acid แม้จะเป็นอนุพันธ์ของเมลามีนแต่ก็ยังมีโปรตีนสูงถึง 224.36 %
งานวิจัยกับเมลามีนในช่วงที่ผ่านมา
จากการวิจัยในปี ค.ศ.1971 มีการนำเมลามีนมาใส่ในอาหารโค เพราะเป็นแหล่งไนโตรเจน ต่อมาในปี 1971-1976 มีการวิจัยพบว่าเมลามีนมีไนโตรเจนสูงกว่ายูเรีย แต่เมื่อสัตว์กระเพาะรวม (โคเนื้อ โคนม แพะ แกะ) กินเข้าไปแล้วไม่สามารถย่อยได้สมบูรณ์ ทำให้เกิดสารพิษตกค้างในตัวสัตว์จึงไม่นิยมใช้ จากนั้นมีการทำงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง โดยเมลามีนที่มาจากโรงงานผลิตที่ค่อนข้างดีก็จะมีเฉพาะเมลามีนตัวเดียวออกมาไม่มีอัลนาล็อก และมีการศึกษาเมลามีนในสัตว์และคน ก็พบว่าไม่เป็นพิษจึงยอมให้มาผลิตเป็พลาสติกภาชนะใส่อาหารและใช้ห่ออาหารอีกด้วย
จนเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมา หน่วยงาน U.S.Food and Drug ออกมาตรการให้มีการสืบสวนกลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงจากเมืองจีน เพราะพบว่าอาหารสัตว์เลี้ยงที่ส่งไปขายในสหรัฐอเมริกาและแอฟริกาใต้ เมื่อสุนัขและแมวกินเข้าไปทำให้สัตว์เลี้ยงลัมป่วยและตายเป็นจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ U.S.Food and Drug ได้ประกาศระงับการนำเข้ากลูเตนที่ผลิตได้จากแป้งสาลี(wheat gluten) ของจีน รวมทั้งเรียกคืนสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงจากจีนรวมกว่า 60 ล้านกล่อง ครอบคลุมสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงประมาณ 100 ยี่ห้อ นอกจากนี้ยังมีความสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าคอนกลูเต้น ( corn gluten ) ที่ผลิตในอเมริกามีโปรตีนไม่ถึง 64 % ทั้ง ๆ ที่อเมริกาเป็นแหล่ง corn gluten แหล่งใหญ่ของโลกในขณะที่ผลิตภัณฑ์จากเมืองจีนมีโปรตีนสูงถึง 68 % แต่กลับราคาถูกกว่า
นอกจากนำเข้า corn gluten จากจีนแล้ว อเมริกายังนำเข้าโปรตีนจากพืชชนิดอื่น ๆ ของจีน เช่น wheat gluten, rice bran และ rice protein concentrate หลังจากนั้นพบว่าเมื่อนำไปใช้เลี้ยงสัตว์แล้วเกิดปัญหา เมื่อตรวจสอบก็พบว่าโปรตีนจากพืชที่นำเข้าจากจีนปนเปื้อนด้วยเมลามีน และอนุพันธ์ของเมลามีน U.S.Food and Drug ได้ประกาศระงับการนำเข้าโปรตีนจากพืชของจีนรวมทั้งเรียกคืนอาหารสัตว์จากจีนกว่า 60 ล้านกล่อง ครอบคลุมสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงประมาณ 100 ยี่ห้อ
จากจุดนี้ทำให้หน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหาร ประจำสหภาพยุโรป (European food Safety Authority : EFSA) ได้มีการกำหนดค่าในการบริโภคเมลามีนต่อวันของมนุษย์และสัตว์ ( toterable daily intake : TDI ) ในระดับไม่เกิน 0.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัวต่อวัน โดยค่ะ TDI ของเมลามีนทั้งคนและสัตว์ให้มีค่าเท่ากันเพราะยังไม่มีการวิจัยในสัตว์ออกมาส่วนค่าเมลามีนที่จะปนมากับอาหารคนและสัตว์เกินกว่า 30 มิลลิกรัม/กิโลกรัม หรือ 30 ppm. ได้
EU และประเทศสมาชิก 27 ประเทศมีการตรวจเข้มข้น เพื่อหาการปนเปื้อนของเมลามีนในสินค้าประเภท wheat gluten,corn gluten, corn meal, soy protein, rice bran, rice protein concentrate ที่นำเข้าจากจีนและประเทศที่ 3 ซึ่งรวมถึงกลุ่มประเทศตะวันออกเฉียงใต้ทั้งนี้ให้รายงานผลการตรวจเข้าสู่ระบบเตือนภัยกลาง คือ Repid Alert System for Food and Feed
เมลามีนในประเทศจีน
จีนมีโรงงานผลิตเมลามีน 3 แหล่งใหญ่ ๆ ซึ่งร่ำรวยมาก ผลิตเมลามีนเดือนละหลายหมื่นตันในเมืองจีนเมลามีนวางขายหลากหลายยี่ห้อ และมีการับรองมาตรฐานอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการประกาศขายเมลามีนผ่านทางอินเตอร์เน็ตอย่างเปิดเผย ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในเมืองจีนมีขายและใช้กันมากในการผลิตอาหารสุนัข อาหารสุกร รวมถึงแป้งที่คนกิน นอกจากจะนำมาใช้ในประเทศแล้ว จีนยังมีการส่งเมลามีนเข้าไปขายในประเทศที่ 3 ประกอบด้วย ไทย เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเชีย และฟิลลิปปินส์ โดยไม่ได้นำเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมจานเมลามีน แต่เอามาปนเปื้อนในอาหารคนอาหารสัตว์ ซึ่งผู้ขายจากจีนจะไม่บอกว่าเป็นเมลามีนโดยบอกว่าเป็น ไบโอโปรตีน โดยเป็นเมลานีนเศษเหลือจากโรงงานพลาสติก ราคาถูก นำเข้าในราคากิโลกรัมละ 1.20 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่เมืองจีนราคาประมาณกิโลกรัมละ 1-2 หยวนเท่านั้น
ในตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าสารที่เข้ามาเป็นเมลามีน เพราะไม่มีน้ำยาสำหรับตรวจสอบได้ มีแต่ตรวจเช็คการปนเปื้อนยูเรีย Non-Protein Nitrogen คือ ปุ๋ย เป็นพวกแอมโมเนียมไนเตรท แอมโมเนียมฟอสเฟต แอมโมเนียมซัลเฟต นอกจากนั้นยังมีการตรวจการปนเปื้อนขนไก่ไฮโดรไลซ์เศษหนังเท่านั้น
ความเป็นพิษของเมลามีน
เกิดการระคายเคืองเมื่อสูดดมทำให้ตาและผิวหนังอักเสบ เมื่อกินเข้าไประบบสืบพันธุ์ถูกทำลาย เกิดนิ่วในท่อปัสสาวะและไต เกิดมะเร็งที่ท่อปัสสาวะ ในสุนัขจะขับถ่ายออกมามาก ปัสสาวะมีความถ่วงจำเพาะลดลง มีเมลามีนในปัสสาวะสูง และเห็นเกร็ดเล็ก ๆ สีขาวเกิดขึ้นที่ไตและปัสสาวะ โดยน้ำปัสสาวะจะมีสีขาวขุ่นและมีโปรตีนและเลือดถูกขับออกมาด้วย กรณีในคนจะมีปัญหาท่อปัสสาวะล้มเหลว ในปลาไร้เกล็ด(ปลาดุก) เกร็ดจะเกิดผิวสีดำ ตับและไตขนาดใหญ่(ตับแตก) และตายในที่สุด
ผลของเมลามีนต่อสุกร – ไก่
อาการที่พบในสุกร ผอมซูบไม่กินอาหาร ตายแบบเฉียบพลันเพราะไตวาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเข้าว่าเป็น PRRS หรือเซอร์โคไวรัส ขี้จะแข็งเป็นเม็ดกระสุน ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็นรุนแรง พื้นคอกสีขาวเนื่องจากการขับเมลามีนออกมากับปัสสาวะ ผิวหนังที่มีการสัมผัสเมลามีนจะเป็นมะเร็งได้ (ในสุกรจะเห็นผิวหนังเป็นจุดแดง) ถ้าสูดดมเอาเมลามีนเข้าไปจะทำให้โพรงจมูกอักเสบ และมักพบสุกรส่วนหนึ่งตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ การแสดงอาหารป่วยจะพบ 30–100 % แต่การตายจะพบ 20-80 % วิการเมื่อผ่าซากจะพบไตแข็ง มีสีเหลืองผิวเป็นเม็ดน้อยหน่า และจะพบโรคแทรกซ้อนมากมาย
อาการที่พบในไก่เนื้อ ไตจะใหญ่กว่าปกติ 3-4 เท่า บริเวณอุ้งเท้าไก่จะเน่าเพราะมูลที่ขับถ่ายออกมาเหนียวมากจึงเกาะติดทำให้เกิดการระคายเคืองกับอุ้งเท้าไก่โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนขาย จึงเกิดความเสียหายขึ้นจะมาก-น้อยแตกต่างกันในแต่ละฟาร์ม
เส้นทางการสืบค้นหาเมลามีนในเมืองไทย
จากการตรวจสอบวัตถุที่นำเข้าจากจีนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีสิ่งที่เป็นข้อสงสัยเกิดขึ้นจากการค้นคว้าเจาะลึกลงไป พอดีกับที่ได้ไปงาน VIV ที่จีน พร้อมไปเป็นวิทยากรที่เมืองจีนอีกหลายครั้ง ก็ได้เห็นสินค้าหลากหลายวางขายจึงเก็บมาวิเคราะห์ก็เลยแน่ใจว่าเป็น เมลามีน โดยเมลามีนที่ตรวจพบในเมืองไทยที่ปนเปื้อนมากับวัตถุดิบอาหารมีหลากหลายชนิด ประกอบด้วย
- โพลียูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ (ผงสีขาว)
- โพลีเมธิลคาร์บาไมล์ (ผงสีขาว)
- โพลียูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ (UF) เรซิน
- เมลามีนฟอร์มาลดีไฮด์ (MF) เรซิน
- เมลามีนยูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ (MUF) เรซิน
ซึ่งมีตั้งแต่สีเหลืองจนขาว ขาวเทา เทาและดำ เมลามีน(ผงสีขาว) และเมลามีนไซอนูเลท(เป็นรูปเกลือที่เกิดจากเมลามีนและกรดไซอนูริค) โดยเมื่อตรวจสอบเปอร์เซ็นต์โปรตีนพบสูงตั้งแต่ 160-450 % จึงเริ่มมีการทำเทสคิดและสำเร็จในเดือนพฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมา โดยน้ำยาสารละลาย A (ความเป็นด่างสูง) และน้ำยาสารละลาย B (ความเป็นกรมสูง)
ขั้นตอนในการตรวจสอลเมลามีน
1. ตรวจสอบโดยตรงจากกล้องจุลทรรศน์ (ต้องมีความชำนาญและฝึกอบรมการตรวจสอบคุณภาพอาหารด้วยกล้องจุลทรรศน์มาก่อน) จะสามารถเห็นสารนี้ได้ โดยจะเห็นเป็นคริสตัลแวววาวสีแตกต่างกันไปถ้าปลอมปนในโปรตีนจากพืช เช่น โปรตีนจากข้าวโพด ข้าวลาสี ถั่วเหลือง (กากถั่วเหลืองและถั่วอบ) มักจะเป็นสีเหลืองหรือขาว
2. หยดสารละลาย A ลงไปจะเกิดตะกอนขุ่นขาวครั้งแรก (มองจากกล้องจุลทรรศน์) และจะเปลี่ยนเป็นตะกอนขุ่นสีเทาดำเกิดขึ้น เมื่อทิ้งไว้ 5-10 นาที จะมีเมือกสีขาวเคลือบอยู่ด้านบน ส่วนด้านล่างจะมีสีดำเทาแสดงว่าเป็นพวก UF ถ้าเป็น MF จะได้สารละลายสีเหลืองและ MUF จะเป็นสีเหลืองอ่อน
3. ตรวจสอบจากกล้องจุลทรรศน์ เช่นเดียวกับขั้นตอนที่ 2 แต่ให้หยดสารละลาย B ลงไปจะเกิดสีชมพู-ม่วงคราม-ม่วงน้ำเงินเกิดขึ้นเป็นพวก UF สำหรับ MF จะได้สีชมพู และ MUF ต้องทิ้งไว้ 15-20 นาที จึงจะเกิดสีชมพูอ่อน
4. น้ำตัวอย่างอาหารที่จะทดสอบโดยละลายในน้ำกลั่น อัตราส่วนอาหารต่อน้ำ 1 : 10 แล้วคนให้เข้ากันขณะคนให้สังเกตถ้ามีสารปนเปื้อนอาหารจะจับตัวเป็นขุยก้อนเล็ก ๆ สังเกตดูน้ำที่ใช้ละลายจะไม่ใส มีสีขาวเหมือนน้ำข้าวต้ม แสดงได้ทันทีว่ามีเมลามีนผงสีเทาปนเปื้อน ทิ้งไว้ในตะกอนแล้วกรองด้วยกระดาษกรอง Whatman No.4 หรือดูดเอาน้ำไปทดสอบกับสารละลาย A และ B
วัตถุดิบอาหารสัตว์หลักที่ต้องระวัง
อันดับแรกคือ ปลาป่น โปรตีนจากพืชที่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น corn gluten , soy bean meal, soy protein , rice bran, rice protein concentrate โปรตีนจากวุ้นเส้น DDGS จากเมืองจีนและโพลีนคลอไรด์จากเมืองจีน รำสกัดในบ้านเราก็ไม่น่าไว้วางใจ ฟลูแฟตซอยก็เช่นเดียวกัน
ความเสียหายที่เกิดกับอุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย
ความเสียหายในฟาร์มหมูที่เกิดขึ้นเพราะที่ผ่านมารำแพง ปลาป่นแพง หาของคุณภาพได้ยาก และไม่รู้ว่ามีการปนเปื้อนเมลามีนในวัถตุดิบเหล่านี้จึงมีการทดลองใช้ DDGS และโพลีนคลอไรด์จากเมืองจีน ซึ่งโพลีนคลอไรด์ 60% มีขายทั่วไปแต่จากเมืองจีนจะมีเพียง 20% และมีเมลามีนปนเปื้อน เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงโดยเฉพาะในสูตรของพ่อแม่พันธุ์ หมูเลียรางที่ใช้ปลาป่นค่อนข้างมาก
ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่จีนหลอกขายเมลามีนให้ แต่เราเดือนร้อนที่สุดเพราะเราเป็นผู้ส่งออกทั้งไก่เนื้อ กุ้ง และหมูที่กำลังจะส่งออกได้ ที่ผ่านมาหมูก็จะไปไม่ไหวอยู่แล้วเพราะราคาตกต่ำแล้วยังมาเจอความเสียหายเกิดขึ้นจากวัตถุดิบปนเปื้อน ฝากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องคิดให้มากกว่านี้ทำอะไรต้องคิดถึงประเทศชาติ ส่วนอาจารย์ก็จะเร่งเตรียมห้องแล็ปและรับตรวจสอบตัวอย่างที่สงสัย พร้อมจัดอบรมให้ความรู้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการอบรมไปแล้วจำนวนหนึ่งในส่วนของผู้ส่งออก ขณะเดียวกันก็จะปรับเปลี่ยนวิธีการวิเคราะห์เมลามีนทั้ง 4 ตัวด้วยเครื่องสเป็กโตรดฟโตมิเตอร์ และจำทำเทสคิดออกมาอีก 2 ตัวเพื่อมาตรวจสอบ A,B ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และถ้าเกษตรรายใดสงสัยว่าฟาร์มจะมีปัญหาจากเมลามีนต้องการให้อาจารย์ช่วยเหลือก็ติดต่อได้โดยตรง ยินดีให้ความช่วยเหลือ รศ.ดร.เยาวมาลย์ กล่าว
ที่มา : http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=64&post_id=1275618
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)